วิเคราะห์ ชาติมหาอำนาจ ในมุม MOAT แต่ละประเทศ​ มีจุดเด่นอะไรบ้าง ?

วิเคราะห์ ชาติมหาอำนาจ ในมุม MOAT แต่ละประเทศ​ มีจุดเด่นอะไรบ้าง ?

วิเคราะห์ ชาติมหาอำนาจ ในมุม MOAT แต่ละประเทศ​ มีจุดเด่นอะไรบ้าง ? /โดย ลงทุนแมน
MOAT คือกำแพง หรือป้อมปราการของบริษัท ที่สามารถกันคู่แข่ง ไม่ให้แย่งลูกค้าจากธุรกิจไปได้
เวลานักลงทุนวิเคราะห์บริษัทใดบริษัทหนึ่งว่าแข็งแกร่งหรือมีศักยภาพแค่ไหน ก็มักดู MOAT เป็นปัจจัยสำคัญ
โดยเครื่องมือยอดฮิต สำหรับการนำมาใช้วิเคราะห์ MOAT
นั่นก็คือ 7 Powers หรือที่เรียกว่า “ขุมพลังทั้ง 7” ซึ่งถูกคิดค้นโดยคุณ Hamilton Helmer
ขุมพลังทั้ง 7 ที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย
1. Counter-Positioning = การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ให้เหนือคู่แข่ง
2. Cornered Resource = การเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่เพียงผู้เดียว
3. Network Economics = พลังแห่งเครือข่าย
4. Scale Economics = การประหยัดต่อขนาด
5. Switching Costs = ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น
6. Branding = แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
7. Process Power = ความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิต
ทีนี้ ถ้าเราลองเอา 7 Powers ไปวิเคราะห์กับประเทศมหาอำนาจ ดูบ้าง
ว่าประเทศไหน มีขุมพลัง หรือมี MOAT อะไรที่โดดเด่น
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ?
เพื่อทำความเข้าใจประเทศมหาอำนาจให้มากขึ้น
รวมถึงเรียนรู้ และอาจสามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องการลงทุน และการพัฒนาประเทศได้อีกด้วย
ถ้าพร้อมแล้ว
ลงทุนแมน จะลองวิเคราะห์ และเล่าให้ฟัง..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มจาก
1. สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมโลก
มี MOAT ที่โดดเด่นอยู่ถึง 3 อย่าง นั่นคือ
- Counter-Positioning คือ การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ให้เหนือคู่แข่ง อย่างเช่น
Netflix ที่อยากจะลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยเคยทำธุรกิจเช่าวิดีโอผ่านทางไปรษณีย์ส่งถึงที่บ้าน
และบุกเบิกธุรกิจสตรีมมิงภาพยนตร์-ซีรีส์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลองสิ่งใหม่ ๆ เช่น เอา AI มาขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น
Amazon ที่กล้าลองผิดลองถูก เริ่มต้นขายหนังสือออนไลน์เป็นเจ้าแรก ๆ
ในยุคที่ E-Commerce แทบจะยังไม่เกิดขึ้น
OpenAI ที่พัฒนา ChatGPT จนสะเทือนวงการ AI ให้คนทั่วโลกได้ตื่นตัว และเข้าถึง AI ในวงกว้าง
- Network Economics คือ ยิ่งธุรกิจมีคนเข้ามาใช้งานมากเท่าไร สินค้าหรือบริการนั้นก็จะมีมูลค่ามากขึ้น อย่าง Meta (Facebook, Instagram), YouTube, Amazon หรือ Airbnb
- Switching Costs คือ ต้นทุนที่ต้องจ่าย ถ้าหากลูกค้าอยากจะไปใช้แบรนด์คู่แข่งเจ้าอื่น ๆ
อย่าง Apple (iOS), Microsoft (MS Office), Salesforce (บริหารการขาย)
หรือ Adobe (กราฟิก)
ซึ่งสาเหตุที่สหรัฐอเมริกา มีขุมพลังมากถึง 3 Powers
ก็ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกา เป็นดินแดนแห่งใหม่ ที่เปิดโอกาสรับผู้อพยพ
ซึ่งหลายคนก็เป็นนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ จากทั่วทุกมุมโลกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
บุคคลเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ ก็ได้อพยพเข้ามาในดินแดนแห่งใหม่ เพื่อก่อร่างสร้างธุรกิจในดินแดนเสรีภาพแห่งนี้
โดยชาวอเมริกัน ก็ได้สร้างระบบนิเวศ หรือ Ecosystem สำหรับส่งเสริมผู้ประกอบการ และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
- Ecosystem ด้านการศึกษา
โดยมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง ฮาร์วาร์ด, เยล และโคลัมเบีย ที่บ่มเพาะเรื่องการศึกษา ให้กับผู้อพยพชาวอังกฤษและฝรั่งเศส ที่อพยพไปที่ดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่ก่อนที่จะก่อตั้งเป็นประเทศด้วยซ้ำ
- Ecosystem ในด้านสถานที่
เมื่อการศึกษาภายในประเทศ ถูกบ่มเพาะเป็นอย่างดีแล้ว
ชาวอเมริกัน ก็ยังเลือกบ่มเพาะนวัตกรรม โดยใช้สถานที่อย่างซิลิคอนแวลลีย์ ที่อยู่บริเวณหุบเขาทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อฟูมฟักนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ให้เข้ามาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมต่าง ๆ จากซิลิคอนแวลลีย์ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลก
นั่นจึงทำให้ ซิลิคอนแวลลีย์ เป็นสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น
HP, Intel, Apple, Microsoft, Google, Netflix และ NVIDIA
- Ecosystem ในด้านเงินทุน
ด้วยธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา ที่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นสหรัฐอเมริกา จึงกลายเป็นแหล่งเงินทุนชั้นเยี่ยม ที่พร้อมเปิดโอกาสให้กับธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ
โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน, เครื่องมือทางการเงิน และแหล่งเงินทุนจำนวนมาก ให้กับธุรกิจสตาร์ตอัป
ที่มีไอเดียธุรกิจหรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้มาก แต่มีศักยภาพที่จะเติบโต เป็นบริษัทแบรนด์ดังระดับโลกในอนาคต
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายบริษัทแบรนด์ดังระดับโลก ที่แม้จะไม่ใช่บริษัทอเมริกัน
แต่ก็อยากจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็น Alibaba สัญชาติจีน, ARM สัญชาติอังกฤษ และ Spotify สัญชาติสวีเดน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยธุรกิจที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ
- มีโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถชนะคู่แข่ง (Counter-Positioning) อย่าง Netflix, Amazon หรือ OpenAI
- เมื่อธุรกิจสามารถสเกลได้ ก็เริ่มมี Network Economics อย่าง Meta หรือ YouTube
- เมื่อเราซื้อสินค้า และใช้บริการผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนาน ๆ ก็เริ่มมี Switching Costs อย่าง Apple, Microsoft หรือ Salesforce นั่นเอง
2. ประเทศจีน มีขุมพลังที่โดดเด่น 2 อย่าง นั่นคือ
- Cornered Resource คือ ความสามารถในการกอบโกย และเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์ แต่เพียงผู้เดียว
โดยขุมพลังนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกจุดเด่นหลักของประเทศจีน
จีนถือเป็นมหาอำนาจในด้าน Rare Earth หรือแร่หายาก เป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากกว่า 80% บนโลก
แร่หายากนี้ เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ สำหรับผลิตเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่รถ EV, ชิปเซต รวมถึงอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ
- Scale Economics คือ ความสามารถในการผลิตสินค้าได้ทีละมาก ๆ ด้วยราคาต่อชิ้นที่ถูก
ขุมพลังนี้ของประเทศจีน ก็เป็นจุดเด่นที่ชัดมาก ๆ ด้วยรากฐานของประเทศ ที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม
ทำให้เวลาที่จีนจะผลิตสินค้าอะไรออกมาสักอย่าง พวกเขาจะต้องคิดเสมอว่า
จะผลิตสินค้ายังไง ให้คนมาใช้ได้มากที่สุด
ซึ่งคำตอบก็คือ พวกเขาจะต้องผลิตสินค้าให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ แล้วนำไปขายในราคาที่ถูก โดยบวกกำไรจากการขายเพียงนิดเดียว เพื่อให้คนมาซื้อเยอะ ๆ จนเกิด Econimies of Scale
เราจะเห็นได้จากแบรนด์รถยนต์ EV ของจีน อย่าง BYD, MG, ORA และ AION
ที่สามารถส่งมอบรถ EV ให้กับลูกค้าได้ในราคาถูกกว่าแบรนด์รถไฟฟ้า EV จากประเทศอื่น
แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าและสมาร์ตโฟน อย่าง Xiaomi และ Huawei
ที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ตโฟนของประเทศอื่น ๆ ในรุ่นหรือสเป็กที่ใกล้ ๆ กัน
ไปจนถึงแบรนด์ของกิน อย่าง MIXUE, WEDRINK และ Luckin Coffee ที่สามารถขายเครื่องดื่มได้ในราคาถูกกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับร้านอาหารใน Tier ใกล้ ๆ กัน
การที่ประเทศจีน สามารถใช้ขุมพลังจาก Scale Economics ได้ นั่นก็เพราะว่าต้นทุนหลัก ๆ ที่ใช้ในการผลิต อย่าง
- ผลิตภาพแรงงานและการผลิตของจีน ที่ทั้งคุ้มค่าและยืดหยุ่น กว่าประเทศอื่น แถมประเทศจีนมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานเป็นจำนวนมาก
- รัฐบาลจีน ตั้งแต่ยุคเติ้ง เสี่ยวผิง ที่มีนโยบายเปิดประเทศค้าขายกับชาวต่างชาติ เป็นครั้งแรก ได้ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้เรื่องวิทยาการ และองค์ความรู้ในการผลิตสินค้าจากต่างประเทศ มาพยายามต่อยอด และพัฒนาความรู้เหล่านั้นด้วยตัวเอง
- รัฐบาลจีน ส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ภายในประเทศ และลดพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จากต่างชาติให้มากที่สุด
จะเห็นได้ว่าพลังของ Scale Economics ของจีน ก็จะเน้นการพึ่งพาตัวเอง
และสามารถนำทรัพยากรที่ตัวเองมี นั่นก็คือขุมพลัง Cornered Resource มาสร้างเป็นแบรนด์สินค้าภายในประเทศตัวเอง แล้วส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่น
3. ประเทศฝรั่งเศส และอิตาลี มีขุมพลังที่โดดเด่นคือเรื่อง Branding
ด้วยทั้ง 2 ประเทศนี้ ต่างก็มีต้นทุนที่เรียกว่า ต้นทุนทางวัฒนธรรม ที่เกิดจากประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของการสร้างชาติ มาเป็นเวลานานหลายร้อยปี อย่าง
- อิตาลี ดินแดนที่เคยเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปะ
มีแฟชั่นการแต่งกายที่พิถีพิถัน และมีเอกลักษณ์มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งตรงกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
ที่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 เหล่านักออกแบบงานศิลปะที่มีชื่อเสียงในอิตาลี
ต่างก็ได้สร้างสรรค์แบรนด์ต่าง ๆ เป็นของตัวเอง
จึงทำให้อิตาลี มีแบรนด์เครื่องแต่งกายแฟชั่น ที่มีชื่อเสียงมากมาย
อย่าง GUCCI, Giorgio Armani, Versace และ Prada
ซึ่งนอกจากงานแฟชั่นแล้ว งานศิลปะอันละเมียดละไมของอิตาลี ก็ยังได้ถูกนำไปต่อยอด
ทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ อย่างรถยนต์ซูเปอร์คาร์ Ferrari และ Lamborghini นั่นเอง
- ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความหรูหรา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
โดยฝรั่งเศส ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมของยุโรป ต่อจากอิตาลี มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
ความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศส มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มขุนนาง หรือคนชนชั้นสูง และต่อมา นิยามแห่งความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศสนี้ ก็ได้เริ่มแพร่หลาย และเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป ในช่วงศตวรรษที่ 19
นั่นจึงทำให้แบรนด์หรูของฝรั่งเศสมากมาย เกิดขึ้นในยุคนั้น
ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Hermès, Chanel, Celine และ Dior
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ประเทศนี้ต่างก็มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
จนสามารถนำเรื่องราว และศิลปวิทยาการต่าง ๆ ที่สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น มาสร้างเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีมูลค่าสูงได้
4. ประเทศญี่ปุ่น มีขุมพลังที่โดดเด่นคือเรื่อง Process Power
พลัง Process Power ก็คือการที่ธุรกิจสามารถสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยการปรับปรุง หรือพัฒนากระบวนการภายในให้ดีมากขึ้น
สามารถทำให้สินค้านั้นมีคุณภาพสูง แถมยังจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศที่มีขุมพลัง Process Power แบบชัด ๆ เลยก็คือ ประเทศญี่ปุ่น
ที่มีแบรนด์ดังต่าง ๆ อย่าง
- แบรนด์ยานยนต์ เช่น Toyota, Honda, Mitsubishi, Yamaha, Suzuki และ Nissan
- แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น Sony, Panasonic และ Toshiba
- แบรนด์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลหนัก เช่น Mitsubishi, Hitachi และ Kawasaki
- ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น Uniqlo และ ASICS
สินค้าของญี่ปุ่น ที่มาจากแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ จะใช้พลังที่เกิดจากกระบวนการภายในองค์กร
หมายถึง วัฒนธรรมในการทำงาน และการผลิตในแบบญี่ปุ่น ที่มีความใส่ใจในรายละเอียด
ด้วยองค์ความรู้ (Know-How) ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของญี่ปุ่น ที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ง่าย
นั่นจึงทำให้แบรนด์สินค้าจากญี่ปุ่น เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก
ว่าจะต้องเป็นสินค้าที่มีความเนี้ยบ มีคุณภาพสูง และมีอายุในการใช้งานที่ทนทานมาก ๆ
ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง..
สรุปจุดเด่นของแต่ละชาติมหาอำนาจ ในแง่ของขุมพลัง 7 Powers
- สหรัฐอเมริกา ได้เรื่อง Counter-Positioning, Network Economics และ Switching Costs
- จีน ได้เรื่อง Scale Economics และ Cornered Resource
- ฝรั่งเศส อิตาลี ได้เรื่อง Branding
- ญี่ปุ่น ได้เรื่อง Process Power
ซึ่งก็ต้องบอกว่า Power ที่ลงทุนแมนพูดถึงนั้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า “จุดเด่น”
ของแบรนด์ดังแต่ละประเทศที่มีอยู่เท่านั้น ซึ่งในบางครั้ง
- แบรนด์อเมริกันบางแบรนด์ ก็มี MOAT ในเรื่อง Branding อยู่บ้าง เช่น American Express หรือ Tesla
- แบรนด์จีนบางแบรนด์ ก็มี MOAT ในเรื่อง Switching Costs อยู่ด้วย เช่น Xiaomi
ทีนี้ถ้าเราลองมองประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ว่ามี MOAT อะไรบ้าง อย่าง
- ไต้หวัน ก็อาจได้เรื่อง Process Power
โดยมี TSMC บริษัทที่มีความสามารถในการผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งบนโลก
แถมมีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
- เนเธอร์แลนด์ ก็อาจได้เรื่อง Cornered Resource
ในแง่ของการผูกขาดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี ในการทำเครื่องผลิตชิปของ ASML
และองค์ความรู้ ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ดีที่สุดในโลก
- แคนาดา หรือออสเตรเลีย ก็อาจได้เรื่อง Cornered Resource
ที่มีทรัพยากรและแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในประเทศที่เยอะมาก ๆ
- อินเดีย เวียดนาม หรือบังกลาเทศ ก็อาจได้เรื่อง Scale Economics ด้วยค่าแรงที่ต่ำ
ทำให้สามารถใช้คนงานผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ในราคาถูก
เมื่อทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทีนี้ลงทุนแมนก็มีคำถามว่า
แล้วประเทศไทยล่ะ มี MOAT หรือขุมพลังที่โดดเด่นเรื่องอะไรบ้าง ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ?
ลองคอมเมนต์กันมาได้เลย..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon