
วิเคราะห์ ชาติมหาอำนาจ ในมุม MOAT แต่ละประเทศ มีจุดเด่นอะไรบ้าง ?
วิเคราะห์ ชาติมหาอำนาจ ในมุม MOAT แต่ละประเทศ มีจุดเด่นอะไรบ้าง ? /โดย ลงทุนแมน
MOAT คือกำแพง หรือป้อมปราการของบริษัท ที่สามารถกันคู่แข่ง ไม่ให้แย่งลูกค้าจากธุรกิจไปได้
MOAT คือกำแพง หรือป้อมปราการของบริษัท ที่สามารถกันคู่แข่ง ไม่ให้แย่งลูกค้าจากธุรกิจไปได้
เวลานักลงทุนวิเคราะห์บริษัทใดบริษัทหนึ่งว่าแข็งแกร่งหรือมีศักยภาพแค่ไหน ก็มักดู MOAT เป็นปัจจัยสำคัญ
โดยเครื่องมือยอดฮิต สำหรับการนำมาใช้วิเคราะห์ MOAT
นั่นก็คือ 7 Powers หรือที่เรียกว่า “ขุมพลังทั้ง 7” ซึ่งถูกคิดค้นโดยคุณ Hamilton Helmer
นั่นก็คือ 7 Powers หรือที่เรียกว่า “ขุมพลังทั้ง 7” ซึ่งถูกคิดค้นโดยคุณ Hamilton Helmer
ขุมพลังทั้ง 7 ที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย
1. Counter-Positioning = การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ให้เหนือคู่แข่ง
2. Cornered Resource = การเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่เพียงผู้เดียว
3. Network Economics = พลังแห่งเครือข่าย
4. Scale Economics = การประหยัดต่อขนาด
5. Switching Costs = ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น
6. Branding = แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
7. Process Power = ความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิต
2. Cornered Resource = การเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่เพียงผู้เดียว
3. Network Economics = พลังแห่งเครือข่าย
4. Scale Economics = การประหยัดต่อขนาด
5. Switching Costs = ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น
6. Branding = แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
7. Process Power = ความเชี่ยวชาญในกระบวนการผลิต
ทีนี้ ถ้าเราลองเอา 7 Powers ไปวิเคราะห์กับประเทศมหาอำนาจ ดูบ้าง
ว่าประเทศไหน มีขุมพลัง หรือมี MOAT อะไรที่โดดเด่น
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ?
ว่าประเทศไหน มีขุมพลัง หรือมี MOAT อะไรที่โดดเด่น
ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร ?
เพื่อทำความเข้าใจประเทศมหาอำนาจให้มากขึ้น
รวมถึงเรียนรู้ และอาจสามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องการลงทุน และการพัฒนาประเทศได้อีกด้วย
รวมถึงเรียนรู้ และอาจสามารถเอามาปรับใช้กับเรื่องการลงทุน และการพัฒนาประเทศได้อีกด้วย
ถ้าพร้อมแล้ว
ลงทุนแมน จะลองวิเคราะห์ และเล่าให้ฟัง..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มจาก
ลงทุนแมน จะลองวิเคราะห์ และเล่าให้ฟัง..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มจาก
1. สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมโลก
มี MOAT ที่โดดเด่นอยู่ถึง 3 อย่าง นั่นคือ
- Counter-Positioning คือ การสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ให้เหนือคู่แข่ง อย่างเช่น
Netflix ที่อยากจะลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยเคยทำธุรกิจเช่าวิดีโอผ่านทางไปรษณีย์ส่งถึงที่บ้าน
และบุกเบิกธุรกิจสตรีมมิงภาพยนตร์-ซีรีส์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลองสิ่งใหม่ ๆ เช่น เอา AI มาขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น
และบุกเบิกธุรกิจสตรีมมิงภาพยนตร์-ซีรีส์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลองสิ่งใหม่ ๆ เช่น เอา AI มาขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น
Amazon ที่กล้าลองผิดลองถูก เริ่มต้นขายหนังสือออนไลน์เป็นเจ้าแรก ๆ
ในยุคที่ E-Commerce แทบจะยังไม่เกิดขึ้น
ในยุคที่ E-Commerce แทบจะยังไม่เกิดขึ้น
OpenAI ที่พัฒนา ChatGPT จนสะเทือนวงการ AI ให้คนทั่วโลกได้ตื่นตัว และเข้าถึง AI ในวงกว้าง
- Network Economics คือ ยิ่งธุรกิจมีคนเข้ามาใช้งานมากเท่าไร สินค้าหรือบริการนั้นก็จะมีมูลค่ามากขึ้น อย่าง Meta (Facebook, Instagram), YouTube, Amazon หรือ Airbnb
- Switching Costs คือ ต้นทุนที่ต้องจ่าย ถ้าหากลูกค้าอยากจะไปใช้แบรนด์คู่แข่งเจ้าอื่น ๆ
อย่าง Apple (iOS), Microsoft (MS Office), Salesforce (บริหารการขาย)
หรือ Adobe (กราฟิก)
อย่าง Apple (iOS), Microsoft (MS Office), Salesforce (บริหารการขาย)
หรือ Adobe (กราฟิก)
ซึ่งสาเหตุที่สหรัฐอเมริกา มีขุมพลังมากถึง 3 Powers
ก็ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
ก็ต้องเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกา เป็นดินแดนแห่งใหม่ ที่เปิดโอกาสรับผู้อพยพ
ซึ่งหลายคนก็เป็นนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ จากทั่วทุกมุมโลกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
ซึ่งหลายคนก็เป็นนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ จากทั่วทุกมุมโลกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
บุคคลเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ ก็ได้อพยพเข้ามาในดินแดนแห่งใหม่ เพื่อก่อร่างสร้างธุรกิจในดินแดนเสรีภาพแห่งนี้
โดยชาวอเมริกัน ก็ได้สร้างระบบนิเวศ หรือ Ecosystem สำหรับส่งเสริมผู้ประกอบการ และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
- Ecosystem ด้านการศึกษา
โดยมีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง ฮาร์วาร์ด, เยล และโคลัมเบีย ที่บ่มเพาะเรื่องการศึกษา ให้กับผู้อพยพชาวอังกฤษและฝรั่งเศส ที่อพยพไปที่ดินแดนอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่ก่อนที่จะก่อตั้งเป็นประเทศด้วยซ้ำ
- Ecosystem ในด้านสถานที่
เมื่อการศึกษาภายในประเทศ ถูกบ่มเพาะเป็นอย่างดีแล้ว
ชาวอเมริกัน ก็ยังเลือกบ่มเพาะนวัตกรรม โดยใช้สถานที่อย่างซิลิคอนแวลลีย์ ที่อยู่บริเวณหุบเขาทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ชาวอเมริกัน ก็ยังเลือกบ่มเพาะนวัตกรรม โดยใช้สถานที่อย่างซิลิคอนแวลลีย์ ที่อยู่บริเวณหุบเขาทางตอนใต้ของอ่าวซานฟรานซิสโก เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อฟูมฟักนักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ให้เข้ามาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมต่าง ๆ จากซิลิคอนแวลลีย์ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลก
นั่นจึงทำให้ ซิลิคอนแวลลีย์ เป็นสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น
HP, Intel, Apple, Microsoft, Google, Netflix และ NVIDIA
HP, Intel, Apple, Microsoft, Google, Netflix และ NVIDIA
- Ecosystem ในด้านเงินทุน
ด้วยธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา ที่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นสหรัฐอเมริกา จึงกลายเป็นแหล่งเงินทุนชั้นเยี่ยม ที่พร้อมเปิดโอกาสให้กับธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ
โดยมีที่ปรึกษาทางการเงิน, เครื่องมือทางการเงิน และแหล่งเงินทุนจำนวนมาก ให้กับธุรกิจสตาร์ตอัป
ที่มีไอเดียธุรกิจหรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้มาก แต่มีศักยภาพที่จะเติบโต เป็นบริษัทแบรนด์ดังระดับโลกในอนาคต
ที่มีไอเดียธุรกิจหรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังไม่สามารถทำกำไรได้มาก แต่มีศักยภาพที่จะเติบโต เป็นบริษัทแบรนด์ดังระดับโลกในอนาคต
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายบริษัทแบรนด์ดังระดับโลก ที่แม้จะไม่ใช่บริษัทอเมริกัน
แต่ก็อยากจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็น Alibaba สัญชาติจีน, ARM สัญชาติอังกฤษ และ Spotify สัญชาติสวีเดน
แต่ก็อยากจะเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็น Alibaba สัญชาติจีน, ARM สัญชาติอังกฤษ และ Spotify สัญชาติสวีเดน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยธุรกิจที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ
สหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยธุรกิจที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ
- มีโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่สามารถชนะคู่แข่ง (Counter-Positioning) อย่าง Netflix, Amazon หรือ OpenAI
- เมื่อธุรกิจสามารถสเกลได้ ก็เริ่มมี Network Economics อย่าง Meta หรือ YouTube
- เมื่อเราซื้อสินค้า และใช้บริการผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนาน ๆ ก็เริ่มมี Switching Costs อย่าง Apple, Microsoft หรือ Salesforce นั่นเอง
- เมื่อธุรกิจสามารถสเกลได้ ก็เริ่มมี Network Economics อย่าง Meta หรือ YouTube
- เมื่อเราซื้อสินค้า และใช้บริการผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนาน ๆ ก็เริ่มมี Switching Costs อย่าง Apple, Microsoft หรือ Salesforce นั่นเอง
2. ประเทศจีน มีขุมพลังที่โดดเด่น 2 อย่าง นั่นคือ
- Cornered Resource คือ ความสามารถในการกอบโกย และเข้าถึงทรัพยากรที่มีประโยชน์ แต่เพียงผู้เดียว
โดยขุมพลังนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกจุดเด่นหลักของประเทศจีน
จีนถือเป็นมหาอำนาจในด้าน Rare Earth หรือแร่หายาก เป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากกว่า 80% บนโลก
จีนถือเป็นมหาอำนาจในด้าน Rare Earth หรือแร่หายาก เป็นผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากกว่า 80% บนโลก
แร่หายากนี้ เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ สำหรับผลิตเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า, แบตเตอรี่รถ EV, ชิปเซต รวมถึงอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ
- Scale Economics คือ ความสามารถในการผลิตสินค้าได้ทีละมาก ๆ ด้วยราคาต่อชิ้นที่ถูก
ขุมพลังนี้ของประเทศจีน ก็เป็นจุดเด่นที่ชัดมาก ๆ ด้วยรากฐานของประเทศ ที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม
ทำให้เวลาที่จีนจะผลิตสินค้าอะไรออกมาสักอย่าง พวกเขาจะต้องคิดเสมอว่า
จะผลิตสินค้ายังไง ให้คนมาใช้ได้มากที่สุด
จะผลิตสินค้ายังไง ให้คนมาใช้ได้มากที่สุด
ซึ่งคำตอบก็คือ พวกเขาจะต้องผลิตสินค้าให้ได้ต้นทุนที่ต่ำ แล้วนำไปขายในราคาที่ถูก โดยบวกกำไรจากการขายเพียงนิดเดียว เพื่อให้คนมาซื้อเยอะ ๆ จนเกิด Econimies of Scale
เราจะเห็นได้จากแบรนด์รถยนต์ EV ของจีน อย่าง BYD, MG, ORA และ AION
ที่สามารถส่งมอบรถ EV ให้กับลูกค้าได้ในราคาถูกกว่าแบรนด์รถไฟฟ้า EV จากประเทศอื่น
ที่สามารถส่งมอบรถ EV ให้กับลูกค้าได้ในราคาถูกกว่าแบรนด์รถไฟฟ้า EV จากประเทศอื่น
แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าและสมาร์ตโฟน อย่าง Xiaomi และ Huawei
ที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ตโฟนของประเทศอื่น ๆ ในรุ่นหรือสเป็กที่ใกล้ ๆ กัน
ที่สามารถขายได้ในราคาถูกกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ตโฟนของประเทศอื่น ๆ ในรุ่นหรือสเป็กที่ใกล้ ๆ กัน
ไปจนถึงแบรนด์ของกิน อย่าง MIXUE, WEDRINK และ Luckin Coffee ที่สามารถขายเครื่องดื่มได้ในราคาถูกกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับร้านอาหารใน Tier ใกล้ ๆ กัน
การที่ประเทศจีน สามารถใช้ขุมพลังจาก Scale Economics ได้ นั่นก็เพราะว่าต้นทุนหลัก ๆ ที่ใช้ในการผลิต อย่าง
- ผลิตภาพแรงงานและการผลิตของจีน ที่ทั้งคุ้มค่าและยืดหยุ่น กว่าประเทศอื่น แถมประเทศจีนมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานเป็นจำนวนมาก
- รัฐบาลจีน ตั้งแต่ยุคเติ้ง เสี่ยวผิง ที่มีนโยบายเปิดประเทศค้าขายกับชาวต่างชาติ เป็นครั้งแรก ได้ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้เรื่องวิทยาการ และองค์ความรู้ในการผลิตสินค้าจากต่างประเทศ มาพยายามต่อยอด และพัฒนาความรู้เหล่านั้นด้วยตัวเอง
- รัฐบาลจีน ส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ภายในประเทศ และลดพึ่งพาการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จากต่างชาติให้มากที่สุด
จะเห็นได้ว่าพลังของ Scale Economics ของจีน ก็จะเน้นการพึ่งพาตัวเอง
และสามารถนำทรัพยากรที่ตัวเองมี นั่นก็คือขุมพลัง Cornered Resource มาสร้างเป็นแบรนด์สินค้าภายในประเทศตัวเอง แล้วส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่น
และสามารถนำทรัพยากรที่ตัวเองมี นั่นก็คือขุมพลัง Cornered Resource มาสร้างเป็นแบรนด์สินค้าภายในประเทศตัวเอง แล้วส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่น
3. ประเทศฝรั่งเศส และอิตาลี มีขุมพลังที่โดดเด่นคือเรื่อง Branding
ด้วยทั้ง 2 ประเทศนี้ ต่างก็มีต้นทุนที่เรียกว่า ต้นทุนทางวัฒนธรรม ที่เกิดจากประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของการสร้างชาติ มาเป็นเวลานานหลายร้อยปี อย่าง
- อิตาลี ดินแดนที่เคยเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปะ
มีแฟชั่นการแต่งกายที่พิถีพิถัน และมีเอกลักษณ์มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งตรงกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
ที่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 เหล่านักออกแบบงานศิลปะที่มีชื่อเสียงในอิตาลี
ต่างก็ได้สร้างสรรค์แบรนด์ต่าง ๆ เป็นของตัวเอง
ต่างก็ได้สร้างสรรค์แบรนด์ต่าง ๆ เป็นของตัวเอง
จึงทำให้อิตาลี มีแบรนด์เครื่องแต่งกายแฟชั่น ที่มีชื่อเสียงมากมาย
อย่าง GUCCI, Giorgio Armani, Versace และ Prada
อย่าง GUCCI, Giorgio Armani, Versace และ Prada
ซึ่งนอกจากงานแฟชั่นแล้ว งานศิลปะอันละเมียดละไมของอิตาลี ก็ยังได้ถูกนำไปต่อยอด
ทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ อย่างรถยนต์ซูเปอร์คาร์ Ferrari และ Lamborghini นั่นเอง
ทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ อย่างรถยนต์ซูเปอร์คาร์ Ferrari และ Lamborghini นั่นเอง
- ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งความหรูหรา ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
โดยฝรั่งเศส ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมของยุโรป ต่อจากอิตาลี มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
โดยฝรั่งเศส ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางด้านวัฒนธรรมของยุโรป ต่อจากอิตาลี มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17
ความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศส มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มขุนนาง หรือคนชนชั้นสูง และต่อมา นิยามแห่งความหรูหราในสไตล์ฝรั่งเศสนี้ ก็ได้เริ่มแพร่หลาย และเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป ในช่วงศตวรรษที่ 19
นั่นจึงทำให้แบรนด์หรูของฝรั่งเศสมากมาย เกิดขึ้นในยุคนั้น
ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Hermès, Chanel, Celine และ Dior
ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Hermès, Chanel, Celine และ Dior
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ประเทศนี้ต่างก็มีต้นทุนทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
จนสามารถนำเรื่องราว และศิลปวิทยาการต่าง ๆ ที่สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น มาสร้างเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีมูลค่าสูงได้
จนสามารถนำเรื่องราว และศิลปวิทยาการต่าง ๆ ที่สั่งสมมาจากรุ่นสู่รุ่น มาสร้างเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ที่มีมูลค่าสูงได้
4. ประเทศญี่ปุ่น มีขุมพลังที่โดดเด่นคือเรื่อง Process Power
พลัง Process Power ก็คือการที่ธุรกิจสามารถสร้างความสามารถในการแข่งขัน
โดยการปรับปรุง หรือพัฒนากระบวนการภายในให้ดีมากขึ้น
สามารถทำให้สินค้านั้นมีคุณภาพสูง แถมยังจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการปรับปรุง หรือพัฒนากระบวนการภายในให้ดีมากขึ้น
สามารถทำให้สินค้านั้นมีคุณภาพสูง แถมยังจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศที่มีขุมพลัง Process Power แบบชัด ๆ เลยก็คือ ประเทศญี่ปุ่น
ที่มีแบรนด์ดังต่าง ๆ อย่าง
- แบรนด์ยานยนต์ เช่น Toyota, Honda, Mitsubishi, Yamaha, Suzuki และ Nissan
- แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น Sony, Panasonic และ Toshiba
- แบรนด์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลหนัก เช่น Mitsubishi, Hitachi และ Kawasaki
- ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น Uniqlo และ ASICS
- แบรนด์ยานยนต์ เช่น Toyota, Honda, Mitsubishi, Yamaha, Suzuki และ Nissan
- แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น Sony, Panasonic และ Toshiba
- แบรนด์ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลหนัก เช่น Mitsubishi, Hitachi และ Kawasaki
- ไปจนถึงแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น Uniqlo และ ASICS
สินค้าของญี่ปุ่น ที่มาจากแบรนด์ต่าง ๆ เหล่านี้ จะใช้พลังที่เกิดจากกระบวนการภายในองค์กร
หมายถึง วัฒนธรรมในการทำงาน และการผลิตในแบบญี่ปุ่น ที่มีความใส่ใจในรายละเอียด
ด้วยองค์ความรู้ (Know-How) ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของญี่ปุ่น ที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ง่าย
ด้วยองค์ความรู้ (Know-How) ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
รวมถึงระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของญี่ปุ่น ที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ง่าย
นั่นจึงทำให้แบรนด์สินค้าจากญี่ปุ่น เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก
ว่าจะต้องเป็นสินค้าที่มีความเนี้ยบ มีคุณภาพสูง และมีอายุในการใช้งานที่ทนทานมาก ๆ
ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง..
ว่าจะต้องเป็นสินค้าที่มีความเนี้ยบ มีคุณภาพสูง และมีอายุในการใช้งานที่ทนทานมาก ๆ
ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง..
สรุปจุดเด่นของแต่ละชาติมหาอำนาจ ในแง่ของขุมพลัง 7 Powers
- สหรัฐอเมริกา ได้เรื่อง Counter-Positioning, Network Economics และ Switching Costs
- จีน ได้เรื่อง Scale Economics และ Cornered Resource
- ฝรั่งเศส อิตาลี ได้เรื่อง Branding
- ญี่ปุ่น ได้เรื่อง Process Power
- จีน ได้เรื่อง Scale Economics และ Cornered Resource
- ฝรั่งเศส อิตาลี ได้เรื่อง Branding
- ญี่ปุ่น ได้เรื่อง Process Power
ซึ่งก็ต้องบอกว่า Power ที่ลงทุนแมนพูดถึงนั้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่เรียกว่า “จุดเด่น”
ของแบรนด์ดังแต่ละประเทศที่มีอยู่เท่านั้น ซึ่งในบางครั้ง
ของแบรนด์ดังแต่ละประเทศที่มีอยู่เท่านั้น ซึ่งในบางครั้ง
- แบรนด์อเมริกันบางแบรนด์ ก็มี MOAT ในเรื่อง Branding อยู่บ้าง เช่น American Express หรือ Tesla
- แบรนด์จีนบางแบรนด์ ก็มี MOAT ในเรื่อง Switching Costs อยู่ด้วย เช่น Xiaomi
ทีนี้ถ้าเราลองมองประเทศอื่น ๆ บนโลกใบนี้ ว่ามี MOAT อะไรบ้าง อย่าง
- ไต้หวัน ก็อาจได้เรื่อง Process Power
โดยมี TSMC บริษัทที่มีความสามารถในการผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งบนโลก
แถมมีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
โดยมี TSMC บริษัทที่มีความสามารถในการผลิตชิปมากกว่าครึ่งหนึ่งบนโลก
แถมมีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง
- เนเธอร์แลนด์ ก็อาจได้เรื่อง Cornered Resource
ในแง่ของการผูกขาดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี ในการทำเครื่องผลิตชิปของ ASML
และองค์ความรู้ ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ดีที่สุดในโลก
ในแง่ของการผูกขาดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี ในการทำเครื่องผลิตชิปของ ASML
และองค์ความรู้ ในด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่ดีที่สุดในโลก
- แคนาดา หรือออสเตรเลีย ก็อาจได้เรื่อง Cornered Resource
ที่มีทรัพยากรและแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในประเทศที่เยอะมาก ๆ
ที่มีทรัพยากรและแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในประเทศที่เยอะมาก ๆ
- อินเดีย เวียดนาม หรือบังกลาเทศ ก็อาจได้เรื่อง Scale Economics ด้วยค่าแรงที่ต่ำ
ทำให้สามารถใช้คนงานผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ในราคาถูก
ทำให้สามารถใช้คนงานผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก ในราคาถูก
เมื่อทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ทีนี้ลงทุนแมนก็มีคำถามว่า
แล้วประเทศไทยล่ะ มี MOAT หรือขุมพลังที่โดดเด่นเรื่องอะไรบ้าง ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ?
แล้วประเทศไทยล่ะ มี MOAT หรือขุมพลังที่โดดเด่นเรื่องอะไรบ้าง ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ ?
ลองคอมเมนต์กันมาได้เลย..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman