
Remote & Hybrid Work ทำให้องค์กรเติบโตได้ยังไง?
ฮิวแมนซอฟท์ x ลงทุนแมน
การทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย องค์กรต่างมองหาทางเลือกในการบริหารพนักงานภายในองค์กรให้มีคุณภาพและยั่งยืน เพราะการบริหารจัดการที่ดีไม่เพียงช่วยรักษาพนักงานที่มีศักยภาพให้อยู่กับองค์กรได้อย่างมั่นคง แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์และประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรในระยะยาวอีกด้วย
แล้วต้องบริหารอย่างไรให้เกิดความมั่งคงและยั่งยืน?
แล้วต้องบริหารอย่างไรให้เกิดความมั่งคงและยั่งยืน?
การบริหารคนเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืนในองค์กร เพราะ “คน” คือผู้ขับเคลื่อนทุกเป้าหมาย การบริหารที่ดีต้องเน้นการพัฒนาศักยภาพของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้เรียนรู้และเติบโตทั้งในหน้าที่และชีวิตส่วนตัว ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่โปร่งใส ยุติธรรม และเคารพความหลากหลาย ทั้งนี้องค์กรควรใส่ใจสุขภาพกายและใจของพนักงาน ส่งเสริมสมดุลระหว่างงานกับชีวิต รวมถึงให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพื่อสร้างความผูกพันและแรงจูงใจ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยสนับสนุนการบริหารคนอย่างเป็นระบบ เมื่อองค์กรดูแลคนของตนอย่างเหมาะสม คนเหล่านั้นก็จะสามารถดูแลองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเปิดกว้างให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ เช่น Work From Home หรือ Remote Working ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องทำเป็นทีม หรือมีข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ดังนั้นหลายองค์กรจึงเลือกใช้ Hybrid Work ซึ่งผสมผสานการทำงานที่ออฟฟิศและทางไกล เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน
ก่อนจะมาใช้รูปแบบ Hybrid Work
ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเปิดกว้างให้พนักงานสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ เช่น Work From Home หรือ Remote Working ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและลดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามรูปแบบนี้อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องทำเป็นทีม หรือมีข้อจำกัดด้านการสื่อสาร ดังนั้นหลายองค์กรจึงเลือกใช้ Hybrid Work ซึ่งผสมผสานการทำงานที่ออฟฟิศและทางไกล เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำงาน
ก่อนจะมาใช้รูปแบบ Hybrid Work
แน่นอนว่ารูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน คือ การทำงานแบบ On-site Working หรือการทำงานในออฟฟิศ การทำงานในลักษณะนี้จะเน้นการทำงานในสถานที่ทำงานที่องค์กรจัดให้เท่านั้น ซึ่งจะมีเวลาเริ่มงานและเลิกงานกำหนดไว้ชัดเจน มีข้อดีคือพนักงานสามารถใช้สถานที่ที่มีความสะดวกและเอื้อต่อการทำงานที่ทางองค์กรจัดไว้ให้อย่างเหมาะสม แต่จะมีข้อจำกัดคือหากพนักงานอยู่ไกลก็จะไม่สะดวกในเรื่องของการเดินทาง หรือพนักงานอาจมีเวลาส่วนตัวลดลง ในส่วนของบริษัทก็มีต้นทุนในการรองรับค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับการทำงาน
เมื่อรูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมขาดความยืดหยุ่น พนักงานอาจเผชิญกับความเครียดและความเหนื่อยล้า เนื่องจากไม่สามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ ส่งผลให้แรงจูงใจลดลง ประสิทธิภาพถดถอย และอาจนำไปสู่การหมด passion หรือการหมดไฟในการทำงาน จนทำให้พนักงานหลาย ๆ คนเลือกที่จะลาออกในที่สุด ทำให้องค์กรเผชิญปัญหาพนักงานเข้า-ออกบ่อย และไม่สามารถรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพไว้ได้ ทางออก คือ การปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น Remote Working หรือการทำงานระยะไกล ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานตามความสะดวก และจัดรูปแบบการทำงานให้เหมาะกับตัวเอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมลดต้นทุนด้านสถานที่และทรัพยากรขององค์กร แม้รูปแบบนี้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น บางงานอาจเหมาะกับการทำในออฟฟิศมากกว่า หรือพนักงานบางคนอาจไม่มีสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านเท่ากับการทำงานในสำนักงาน
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รูปแบบการทำงานจึงไม่ควรตึงหรือหย่อนเกินไป ปัจจุบันจึงมีรูปแบบการทำงานที่เรียกว่า Hybrid Work คือ คือรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่าง การทำงานที่ออฟฟิศ (On-site) และ การทำงานจากที่อื่น (Remote Working) โดยพนักงานสามารถเลือกหรือสลับสถานที่ทำงานตามความเหมาะสมได้ ซึ่งข้อดีของ Hybrid Work คือช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงาน มีสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ลดเวลาเดินทาง และยังคงสามารถทำงานร่วมกับทีมได้เมื่อจำเป็น เหมาะกับยุคปัจจุบันที่เน้นประสิทธิภาพควบคู่กับคุณภาพชีวิต
คุณอาจสงสัยว่า Hybrid Work จะทำให้องค์กรเติบโตได้ยังไง?
เมื่อรูปแบบการทำงานแบบดั้งเดิมขาดความยืดหยุ่น พนักงานอาจเผชิญกับความเครียดและความเหนื่อยล้า เนื่องจากไม่สามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ ส่งผลให้แรงจูงใจลดลง ประสิทธิภาพถดถอย และอาจนำไปสู่การหมด passion หรือการหมดไฟในการทำงาน จนทำให้พนักงานหลาย ๆ คนเลือกที่จะลาออกในที่สุด ทำให้องค์กรเผชิญปัญหาพนักงานเข้า-ออกบ่อย และไม่สามารถรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพไว้ได้ ทางออก คือ การปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น Remote Working หรือการทำงานระยะไกล ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานตามความสะดวก และจัดรูปแบบการทำงานให้เหมาะกับตัวเอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พร้อมลดต้นทุนด้านสถานที่และทรัพยากรขององค์กร แม้รูปแบบนี้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น บางงานอาจเหมาะกับการทำในออฟฟิศมากกว่า หรือพนักงานบางคนอาจไม่มีสถานที่ที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านเท่ากับการทำงานในสำนักงาน
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รูปแบบการทำงานจึงไม่ควรตึงหรือหย่อนเกินไป ปัจจุบันจึงมีรูปแบบการทำงานที่เรียกว่า Hybrid Work คือ คือรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่าง การทำงานที่ออฟฟิศ (On-site) และ การทำงานจากที่อื่น (Remote Working) โดยพนักงานสามารถเลือกหรือสลับสถานที่ทำงานตามความเหมาะสมได้ ซึ่งข้อดีของ Hybrid Work คือช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงาน มีสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว ลดเวลาเดินทาง และยังคงสามารถทำงานร่วมกับทีมได้เมื่อจำเป็น เหมาะกับยุคปัจจุบันที่เน้นประสิทธิภาพควบคู่กับคุณภาพชีวิต
คุณอาจสงสัยว่า Hybrid Work จะทำให้องค์กรเติบโตได้ยังไง?
จะเติบโตได้อย่างไร? เป็นคำถามที่ดีเลยทีเดียว เพราะคุณอาจเกิดความสงสัยว่า แค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจะส่งผลให้องค์กรเติบโตได้เลยหรือ และคำตอบคือ ทุกฟันเฟืองมีผลต่อเครื่องจักร หากฟันเฟืองตัวไหนพังเครื่องจักรก็ใช้งานไม่ได้ เช่นเดียวกัน พนักงานที่เป็นเสมือนฟันเฟืองสำคัญขององค์กร เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดดารพัฒนาและเดินหน้าต่อไปได้
ดังนั้นการทำงานแบบ Remote และ Hybrid จึงช่วยให้องค์กรเติบโตได้ด้วยการเพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงาน ส่งผลให้มีความสุขในการทำงานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนด้านสถานที่และการดำเนินงาน พร้อมเปิดโอกาสในการจ้างงานจากหลากหลายพื้นที่ ทำให้องค์กรเข้าถึงบุคลากรคุณภาพได้มากขึ้น องค์กรที่ปรับใช้รูปแบบนี้ยังมีความคล่องตัว พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาในระยะสั้นและการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้นการทำงานแบบ Remote และ Hybrid จึงช่วยให้องค์กรเติบโตได้ด้วยการเพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงาน ส่งผลให้มีความสุขในการทำงานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนด้านสถานที่และการดำเนินงาน พร้อมเปิดโอกาสในการจ้างงานจากหลากหลายพื้นที่ ทำให้องค์กรเข้าถึงบุคลากรคุณภาพได้มากขึ้น องค์กรที่ปรับใช้รูปแบบนี้ยังมีความคล่องตัว พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งการพัฒนาในระยะสั้นและการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว