จะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าอิหร่าน ปิดช่องแคบฮอร์มุซ

จะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าอิหร่าน ปิดช่องแคบฮอร์มุซ

จะเกิดอะไรขึ้น ? ถ้าอิหร่าน ปิดช่องแคบฮอร์มุซ /โดย ลงทุนแมน
5 ประเทศที่อยู่ในตะวันออกกลาง ส่งออกน้ำมันดิบคิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของน้ำมันดิบทั่วทั้งโลก
สัดส่วนของมูลค่าการส่งออกน้ำมันดิบในปี 2023
ซาอุดีอาระเบีย 14.10% ของโลก
อิรัก 7.22%
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 7.74%
คูเวต 2.79%
ส่วนอิหร่านในปีที่ยังไม่ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา เคยส่งออกน้ำมันดิบคิดเป็น 4.50% ของโลก
แหล่งน้ำมันดิบสำคัญของภูมิภาคนี้ อยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซีย
ซึ่งการขนส่งน้ำมันออกมาสู่ลูกค้าประเทศต่าง ๆ จะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลัก
แต่การที่เรือจะเดินทางออกจากอ่าวเปอร์เซีย มาสู่โลกภายนอก จำเป็นจะต้องเดินทางผ่านจุดที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือ “ช่องแคบฮอร์มุซ” (Strait of Hormuz)
ช่องแคบฮอร์มุซอยู่ตรงไหน แล้วใครเป็นเจ้าของ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ในแง่ภูมิศาสตร์ ช่องแคบฮอร์มุซ เป็นช่องแคบที่กั้นระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน
มีรูปร่างเป็นตัว V ยาวประมาณ 167 กิโลเมตร ในช่วงที่แคบที่สุด กว้างเพียง 34 กิโลเมตร
ซึ่งหากเรือขนส่งเดินทางออกมาจากอ่าวเปอร์เซีย
จะต้องผ่านช่องแคบนี้ ก่อนออกสู่มหาสมุทรอินเดีย
ผืนแผ่นดินฝั่งหนึ่ง เป็นดินแดนของโอมาน
ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง เป็นดินแดนของอิหร่าน
ในแง่ประวัติศาสตร์
คำว่า “ฮอร์มุซ” หมายถึง พระอหุระมาซดะ หรือเทพมาซดะ (Mazda) ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดของชาวเปอร์เซียโบราณ
บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรฮอร์มุซ ก่อนจะเปลี่ยนผู้ปกครองมาหลายครั้ง
ทั้งโปรตุเกส จักรวรรดิเปอร์เซีย มาจนถึงอิหร่าน
ในปี 1982 นานาชาติได้ร่วมกันลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (UNCLOS)
เพื่อให้องค์การสหประชาชาติมีอำนาจในการควบคุมเส้นทางการค้าในช่องแคบฮอร์มุซ
แต่อิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศที่มีกองกำลังทหารแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาฉบับนี้
จึงเท่ากับว่า อิหร่านอาจใช้ช่องแคบแห่งนี้เป็น “ข้อต่อรอง” ให้อีกฝ่ายทำตามเงื่อนไขที่ต้องการ
ในแง่เศรษฐกิจ
มีการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซวันละ 20 ล้านบาร์เรล ในปี 2024 เทียบเท่า 20% ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก
โดยการขนส่งน้ำมันดิบของประเทศกาตาร์ คูเวต บาห์เรน และอิหร่าน จะต้องผ่านช่องแคบนี้ทั้งหมด
ในขณะที่น้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียและอิรัก 90% จำเป็นต้องขนส่งผ่านช่องแคบนี้
ส่วนการขนส่งน้ำมันดิบของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ คิดเป็นสัดส่วน 75%
ความขัดแย้งในอดีต ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน
นำมาสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
สหรัฐอเมริกาต้องการให้เศรษฐกิจของอิหร่านได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุด
หรือความขัดแย้งล่าสุด ที่สหรัฐอเมริกาปฏิบัติการทางทหาร ทำลายโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านไปถึง 3 แห่ง
ซึ่งสำหรับอิหร่าน ที่ส่งออกน้ำมันเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด
หากถูกกีดกันทางการค้าและกดดันอย่างหนัก ก็อาจเหลือทางเลือกไม่มากนัก
หนึ่งในหนทางที่อิหร่านอาจตอบโต้ก็คือ “การปิดช่องแคบฮอร์มุซ”
ถ้าช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด จะเกิดอะไรขึ้น ?
แม้อิหร่านจะส่งออกน้ำมันดิบเป็นสัดส่วนเพียง 4.5% ของโลก
แต่การขนส่งน้ำมันเกือบ 2 ใน 5 ของโลก
จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับประเทศไทย ในปี 2025 ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม
ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 448,088 ล้านบาท
แม้ไทยไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ในจำนวนนี้ นำเข้าจากประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย คิดเป็นสัดส่วนต่อมูลค่าน้ำมันดิบทั้งหมด ดังนี้
นำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คิดเป็น 41%
นำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย คิดเป็น 12%
นำเข้าจากกาตาร์ คิดเป็น 5%
หากเทียบเป็นสัดส่วนของน้ำมันดิบที่จำเป็นต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบนี้เป็นสัดส่วนกว่า 58% ของมูลค่าน้ำมันดิบทั้งหมด
พูดง่าย ๆ หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด น้ำมันดิบมากกว่าครึ่งที่ประเทศไทยนำเข้าจะมีปัญหาในการขนส่ง ซึ่งนอกจากประเทศไทย ประเทศอื่นทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันก็จะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซในทันทีก็คือ
ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น
ถึงแม้ว่าราคาสูงขึ้น และเรามีเงินมากพอที่จะซื้อ แต่ถ้ามันขนส่งมาไม่ได้ เราก็อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบ
ภาคการผลิต อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงภาคขนส่งของประเทศไทยยังพึ่งพาน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุดภาวะเงินเฟ้อของประเทศไทยและทั่วโลกจะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลางทั่วโลกก็จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเพื่อลดเงินเฟ้อ
เมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาคเอกชนที่ก่อหนี้ไว้ก็มีภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น
และเมื่อไม่มีเงินมาจ่าย ธุรกิจอาจต้องปิดตัวตาม ๆ กัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเศรษฐกิจถดถอย
หรือสำหรับประเทศไทย อาจเรียกว่าเป็นการซ้ำเติมกับสภาพเศรษฐกิจที่ดูแล้วไม่สู้ดี
โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ที่อาจจะกลับไปอยู่ในสภาพไม่ต่างจากช่วงโควิด
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และอิหร่าน ซึ่งดูจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนไทย
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและยาวนาน
มันอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และตัวเรา
มากกว่าที่คิด..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon