William Danoff ลูกศิษย์ Peter Lynch ผู้เอาชนะตลาดได้ 2 เท่า ด้วยความเรียบง่าย

William Danoff ลูกศิษย์ Peter Lynch ผู้เอาชนะตลาดได้ 2 เท่า ด้วยความเรียบง่าย

William Danoff ลูกศิษย์ Peter Lynch ผู้เอาชนะตลาดได้ 2 เท่า ด้วยความเรียบง่าย /โดย ลงทุนแมน
หากพูดชื่อ William Danoff ขึ้นมา เชื่อว่าคงแทบไม่มีใครรู้จัก
แต่เขาคนนี้คือ ผู้จัดการกองทุนส่วนน้อย ที่สามารถทำผลตอบแทน เอาชนะดัชนี S&P 500 มาตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนได้ด้วยตัวคนเดียว
โดยมีคุณ Peter Lynch สุดยอดนักลงทุนระดับโลกเป็นอาจารย์ ถ่ายทอดเคล็ดลับหลักการลงทุนให้
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หลักคิดในการลงทุนของคุณ William Danoff เรียกได้ว่า มีความเรียบง่าย และไม่ซับซ้อนอะไรเลย ซึ่งคนทั่วไปก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
คุณ William Danoff คือใคร ?
แล้วหลักการลงทุนของเขาเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณ William Danoff เป็นผู้จัดการกองทุนรวม Fidelity Contrafund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนเรือธงของ Fidelity Investments
โดยเขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี 1982 และจบ MBA จาก Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในปี 1986
หลังเรียนจบ ก็เข้าทำงานที่ Fidelity ในปี 1986 ทันทีในฐานะนักวิเคราะห์ โดยมีครูสอนงานก็คือคุณ Peter Lynch สุดยอดนักลงทุนระดับโลกที่หลายคนรู้จักนั่นเอง
ก่อนที่ในปี 1990 คุณ Danoff จะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity Contrafund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากที่สุดของ Fidelity Investments
ที่น่าสนใจคือ คุณ Danoff บริหารจัดการกองทุนนี้ด้วยตัวคนเดียวมาอย่างยาวนาน และสามารถทำผลตอบแทนได้อย่างงดงาม
โดยข้อมูลจาก Bloomberg เผยว่า กองทุน Fidelity Contrafund สร้างผลตอบแทนกว่า 8,870% นับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา หรือมากกว่าดัชนี S&P 500 กว่า 2 เท่า
แล้วเขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร ?
หลักการลงทุนของคุณ Danoff สามารถย่อยให้เหลือประโยคเดียวคือ “หุ้นเป็นไปตามรายได้” หรือรายได้ที่มากขึ้น ก็มักนำมาซึ่งราคาหุ้นหรือผลตอบแทน ที่สูงขึ้นนั่นเอง
แล้วคุณ Danoff มองหาบริษัทที่จะลงทุนอย่างไร ?
เช่นเดียวกับยอดนักลงทุนหลาย ๆ คน คุณ Danoff จะมองหาบริษัทที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรม ที่จะมีรายได้เติบโตขึ้นภายใน 5 ปี
โดยเขามักลงทุนในบริษัทที่ “Best of Breed” หมายถึงบริษัทที่มีคุณภาพดีที่สุดในอุตสาหกรรม
ซึ่งคุณ Danoff ได้เคยอธิบายว่า “บริษัทที่ดีที่สุดจะมีความสามารถในการคาดการณ์ปัญหา และทำอะไรที่ชาญฉลาดล่วงหน้ากว่าคนอื่น ๆ”
นอกจากนี้ เขายังมักมองหาการลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีแววจะก้าวขึ้นไปเป็นบริษัทชั้นนำได้ เพราะบริษัทเหล่านี้ มักสร้างการเติบโตได้มากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว
และหนึ่งในวิธีที่คุณ Danoff ใช้ประเมินบริษัท จะเริ่มจากคำถามที่ว่า “บริษัทนี้จะดีขึ้นหรือแย่ลง”
และถ้าหากคำตอบคือ “ดีขึ้น” เขาจะไปหาคำตอบว่า “มันดีขึ้นอย่างไร”
โดยคุณ Danoff จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการประเมินมูลค่าเท่าไรนัก และถึงขั้นมีมุมมองที่ว่า ถ้าเป็นบริษัทที่ดีเยี่ยมอย่างที่เขามองหา เขาก็ยินดีจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผล แม้ราคาหุ้นจะดูแพง ในสายตาคนอื่นก็ตาม
ประกอบกับแนวทางการลงทุน ที่เน้นความยืดหยุ่น และไม่เข้มงวดเกินไปในการลงทุน ทำให้เขาสามารถมองหาบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เข้ามาในพอร์ตได้
นั่นทำให้พอร์ตการลงทุนของกองทุน Fidelity Contrafund เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เช่น Meta ซึ่งเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุดในพอร์ต, Nvidia, Amazon, Microsoft, Netflix, Apple และ Alphabet
โดยบางบริษัทอย่าง Meta และ Alphabet คุณ Danoff ก็เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ มาตั้งแต่ตอนที่หุ้นเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เลยทีเดียว
มาถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า หลักการลงทุนที่คุณ Danoff ใช้นั้น จะเน้นไปที่การดู “คุณภาพของธุรกิจ” มากกว่าการประเมินมูลค่าของธุรกิจ
ซึ่งถ้าหากธุรกิจไหนมีคุณภาพที่ดี ก็มักมีแนวโน้มที่จะสามารถสร้างรายได้และกำไร ให้มากขึ้นได้ในระยะยาว
และเมื่อมีผลประกอบการดี แน่นอนว่า ก็มักนำมาซึ่งผลตอบแทนหรือราคาหุ้น ที่สูงขึ้นนั่นเอง
โดยหลักคิดที่เรียบง่ายนี้ ก็ทำให้กองทุน Fidelity Contrafund ของคุณ Danoff กลายเป็นกองทุนแบบ Active ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่บริหารโดยคนคนเดียว
และยังติดหนึ่งในกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อีกด้วย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 5.1 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา คุณ Danoff ก็ได้เริ่มมีลูกมือเข้ามาช่วยบริหารกองทุน Fidelity Contrafund แล้ว เพื่อป้องกันสิ่งที่เรียกว่า Key Man Risk ในกรณีที่คุณ Danoff เกษียณหรือไม่สามารถบริหารกองทุนต่อไปได้
ทำให้ปิดตำนานกองทุนรวมที่บริหารโดยคนคนเดียวไปโดยปริยาย..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon