
ทำไม Apple ต้องทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์ F1 ?
ทำไม Apple ต้องทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์ F1 ? /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Apple คนส่วนใหญ่คงนึกถึง iPhone, iPad, Mac หรือ AirPods แต่รู้ไหมว่าวันนี้ Apple ได้ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์แบบเต็มตัวแล้ว
ถ้าพูดถึง Apple คนส่วนใหญ่คงนึกถึง iPhone, iPad, Mac หรือ AirPods แต่รู้ไหมว่าวันนี้ Apple ได้ก้าวเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์แบบเต็มตัวแล้ว
โดยล่าสุด ทุ่มเงินมหาศาลถึง 8,000 ล้านบาท สร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “F1” ที่นำแสดงโดย คุณแบรด พิตต์ ออกฉายไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา
ซึ่งประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย ทำรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท หลังเปิดตัวเพียงสองสัปดาห์
คำถามคือ ทำไมบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Apple ถึงหันมาสนใจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ออกแบบและจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค รวมถึงองค์กรธุรกิจ
แต่บริษัทก็ได้มีการขยายธุรกิจด้าน Services เพื่อสร้างการเติบโตใหม่ ๆ และช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศตนเอง
โดยรายได้ของ Apple ในปี 2024 นั้นมาจาก
- iPhone สัดส่วน 51%
- Services สัดส่วน 25%
- Wearables, Home and Accessories สัดส่วน 9%
- Mac สัดส่วน 8%
- iPad สัดส่วน 7%
- Services สัดส่วน 25%
- Wearables, Home and Accessories สัดส่วน 9%
- Mac สัดส่วน 8%
- iPad สัดส่วน 7%
ธุรกิจ Services ประกอบไปด้วยบริการที่หลากหลาย เช่น App Store, iCloud, Apple Pay แต่อีกหนึ่งบริการที่ Apple กำลังโฟกัสเป็นพิเศษในช่วงนี้ ก็คือ Apple TV+
Apple เปิดตัวบริการวิดีโอสตรีมมิง Apple TV+ เมื่อปี 2019 โดยมีกลยุทธ์ชิงส่วนแบ่งตลาด ด้วยการผลิตออริจินัลคอนเทนต์ ฉายในโรงภาพยนตร์ให้เกิดเป็นกระแส ก่อนนำมาลงแพลตฟอร์มต่อไป
แต่ผลงานภาพยนตร์ของ Apple ที่ใช้การทุ่มงบประมาณมหาศาล ส่วนใหญ่กลับล้มเหลวขาดทุน
อย่างไรก็ตาม Apple ยังไม่ยอมแพ้ และค้นพบแนวทางที่ทำให้คอนเทนต์ดูน่าสนใจ รวมทั้งผสมผสานเข้ากับภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างลงตัว
นั่นคือ การสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับกีฬาแข่งรถ Formula One หรือ F1
ที่ทุ่มงบการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้กว่า 8,000 ล้านบาท และทาบทามนักแสดงชื่อดังอย่าง คุณแบรด พิตต์ มาทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick และคุณลูวิส แฮมิลตัน นักแข่งรถ F1 ตัวจริง
ซึ่งผลลัพธ์ในทางตรง บริษัทคงคาดหวังว่าการที่ F1 มีฐานแฟนคลับทั่วโลกจำนวนมาก ประกอบกับทีมงานและนักแสดง ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็น่าจะดึงดูดให้คนมารับชมในโรงภาพยนตร์ หรือสมัคร Apple TV+ ในอนาคต
ในเวลาต่อมา ภาพยนตร์เรื่อง F1 ก็ได้ออกฉายเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2025 และมีกระแสตอบรับดีมาก โดยล่าสุดทำรายได้ทั่วโลกเกินกว่า 13,000 ล้านบาทไปแล้ว
นอกจากนั้น Apple ยังประเมินว่าภาพยนตร์ F1 สามารถเชื่อมโยงไปสู่ผลิตภัณฑ์ในระบบนิเวศของบริษัท ในทางอ้อมได้ด้วย
อย่างเช่น การใช้เทคนิคถ่ายทำภายในตัวรถ F1 ที่วิ่งอยู่บนสนามแข่งจริง ๆ ด้วยกล้อง iPhone แบบเดียวกับที่วางขายอยู่ในตลาด
ซึ่งรองรับการฉายในโรงภาพยนตร์ระบบ IMAX ที่มีความละเอียดสูง แสดงให้เห็นถึงความล้ำและความสมจริงของกล้อง iPhone
หรือการใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Haptic Engine ที่หากดูภาพยนตร์เรื่องนี้บน Apple TV+ ใน iPhone ตัวเครื่องจะสั่นตามจังหวะและเหตุการณ์ในรถแข่ง
และมีความเป็นไปได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องถัด ๆ ไป อาจมีการนำเอาผลิตภัณฑ์อื่น เช่น AirPods หรือ Vision Pro มาใช้ประกอบการถ่ายทำหรือรับชม ก็เป็นได้..
รวมทั้งยังมีการเสนอโปรโมชัน ในกรณีที่ผู้บริโภคซื้อตั๋วภาพยนตร์ F1 ด้วยบริการ Apple Pay ก็จะมีส่วนลดพิเศษให้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ ก็น่าจะทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้ iPhone และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท เพิ่มขึ้นและต่อเนื่องนั่นเอง
จากเรื่องราวนี้ เห็นได้ว่า Apple คงไม่ได้มีเป้าหมายหลักในการทำกำไรจากภาพยนตร์ แบบสตูดิโอทั่ว ๆ ไป
แต่กำลังปั้นคอนเทนต์ให้เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดลูกค้าให้อยู่ในระบบนิเวศของตัวเอง
ซึ่ง Apple ไม่ได้ผลิตภาพยนตร์เพื่อให้คนมาสมัครสมาชิกแพลตฟอร์ม Apple TV+ เท่านั้น
แต่มองลึกไปถึงการสร้าง “ประสบการณ์” จากการเสพคอนเทนต์ดังกล่าว เพื่อเชื่อมทุกสิ่งกลับเข้าสู่โลกของ Apple อย่างแนบเนียน
สะท้อนปรัชญาการทำธุรกิจที่ คุณสตีฟ จอบส์ คอยปลูกฝังให้ Apple อยู่เสมอว่า
อย่าเริ่มจากการทำเทคโนโลยีล้ำ ๆ แล้วค่อยมาคิดว่าจะให้คนใช้งานมันอย่างไร
อย่าเริ่มจากการทำเทคโนโลยีล้ำ ๆ แล้วค่อยมาคิดว่าจะให้คนใช้งานมันอย่างไร
แต่ให้เริ่มจากประสบการณ์ดี ๆ ที่ลูกค้าจะได้รับก่อน แล้วค่อยมองหาเทคโนโลยีที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้..