บริหารความเสี่ยง ยุคตลาดผันผวน ด้วยกลยุทธ์ Put DW และ Protective Put

บริหารความเสี่ยง ยุคตลาดผันผวน ด้วยกลยุทธ์ Put DW และ Protective Put

J.P. Morgan x ลงทุนแมน
ปกติแล้ว “กำไร” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราขายแพงกว่าราคาที่ซื้อมา
จึงไม่แปลกที่คนเรามักจะเลือกลงทุนในทรัพย์สินที่มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้นในอนาคต
แต่ในความจริงแล้วทุกอย่างล้วนมีวัฏจักรขึ้นลงเป็นรอบ
สังเกตง่าย ๆ อย่างในโลกของตลาดทุนตอนนี้ ที่กำลังผันผวนอย่างหนักจากเศรษฐกิจโลกและปัจจัยมหภาคต่าง ๆ
ช่วงเวลานี้ สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำกำไรคงเป็น “การบริหารความเสี่ยง”
ตัวอย่างเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยบริหารความเสี่ยงพอร์ตลงทุนก็เช่น Futures และ Options รวมไปถึง DW
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเครื่องมือที่เรียกว่า Put DW ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำกำไรในตลาดขาลงได้
รวมถึงการนำ Put DW มาใช้ในกลยุทธ์ “Protective Put” เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ลงทุนแมนจะอธิบายให้ฟัง
DW ย่อมาจาก Derivative Warrant
คือ ตราสารทางการเงินที่ให้สิทธิในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์อ้างอิงในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

- Call DW สิทธิในการ “ซื้อ” สินค้าอ้างอิงในอนาคต
โดยราคาของ Call DW จะเคลื่อนไหวใน “ทิศทางเดียวกับ” หลักทรัพย์อ้างอิง
ทำให้ Call DW มักถูกนำมาใช้ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น
- Put DW สิทธิในการ “ขาย” สินค้าอ้างอิงในอนาคต
โดยราคาของ Put DW จะเคลื่อนไหวใน “ทิศทางตรงข้ามกับ” หลักทรัพย์อ้างอิง
นักลงทุนจึงมักจะใช้ Put DW เมื่อตลาดเป็นขาลง
สรุปง่าย ๆ ว่า หากเรามองขึ้น เราจะใช้ Call DW และหากเรามองลง เราจะใช้ Put DW
โดยลักษณะเฉพาะตัวของ DW นอกจากการเลือกใช้ประโยชน์ได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลงแล้ว ยังมีเรื่องของ Leverage ที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง และแม้ว่า DW จะจำกัดการขาดทุนให้ไม่เกินเงินลงทุนเริ่มต้น แต่ Leverage สามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนได้ ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบทางการเงินเกินกว่าการลงทุนเริ่มต้น
นักลงทุนจึงควรประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเข้าใจผลกระทบของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Leverage อย่างรอบคอบ
พูดง่าย ๆ ว่า การ Leverage นี้ ก็ทำให้มีโอกาสได้กำไรและขาดทุน ในอัตราที่มากกว่าการลงทุนโดยตรงเช่นกัน
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างการใช้ประโยชน์จาก Put DW กันบ้าง..
เพราะในวันที่ตลาดผันผวนหรือเป็นขาลง หุ้นที่เราถืออยู่ก็อาจมีมูลค่าลดลงได้
ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักลงทุนนิยมใช้ปกป้องความเสี่ยงในช่วงขาลง ก็คือ “Protective Put”
แล้ว “Protective Put” คืออะไร ?
อธิบายง่าย ๆ คือการซื้อ Put Options เพื่อป้องกันความเสี่ยงของหุ้นในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง โดยไม่รับประกันว่าจะได้กำไรเนื่องจากคุณสมบัติของ Put Options คือการสร้างกำไรเมื่อราคาหุ้นลดลง ซึ่งสามารถช่วยชดเชยผลขาดทุนจากหุ้นที่เราถืออยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดถึง Options นักลงทุนหลายคนอาจรู้สึกว่าไกลตัว
เพราะการซื้อขาย Options จะต้องเปิดบัญชี TFEX เพิ่มเติม
ตรงนี้เองที่ DW จะเข้ามาช่วยเราได้ เพราะสามารถซื้อขาย DW ได้จากบัญชีหุ้นปกติเลย
สำหรับ DW ที่มีคุณสมบัติคล้ายกับ Put Options นั่นก็คือ “Put DW”
- Leverage ได้ ใช้เงินลงทุนน้อย
- ทำกำไรได้ เมื่อตลาดเป็นขาลง
ถึงตรงนี้สรุปง่าย ๆ ก็คือ เราสามารถใช้กลยุทธ์ Protective Put ผ่านแอป Streaming ได้เลย
ด้วยการซื้อ Put DW ที่อ้างอิงสินทรัพย์เดียวกับที่เราต้องการปกป้องความเสี่ยง โดยสามารถใช้ควบคู่ได้กับทั้งหุ้นไทยและ DR
ทีนี้ ลองมาดูตัวอย่างการใช้งาน Put DW ในกลยุทธ์ Protective Put กันบ้าง..
สมมติเรามีหุ้น A ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น จำนวน 10,000 หุ้น (มูลค่ารวม 100,000 บาท)
และเราไปซื้อ Put DW อ้างอิงหุ้น A เพื่อทำ Protective Put
โดยราคา Put DW คือ 0.3 บาทต่อหน่วย และมีอัตราทดเฉลี่ย 15.5 เท่า
เราซื้อ Put DW อ้างอิงหุ้น A จำนวน 20,000 หน่วย (รวม 6,000 บาท)
ทีนี้ถ้าในอนาคตแบ่งได้เป็น 2 สถานการณ์ ซึ่งราคาหุ้น A อาจจะปรับขึ้นหรือลงก็ได้
กรณีที่ 1 : หุ้น A ขึ้น 15% เป็น 11.5 บาทต่อหุ้น
- กำไรจากหุ้น A 15% เท่ากับ (+15,000) บาท
- Put DW จะไร้ค่า ราคาอาจลงไปเหลือ 0 บาทต่อหน่วย และขาดทุนมากที่สุดเท่าจำนวนเงินลงทุน (-6,000) บาท
สุทธิแล้ว เราจะได้กำไร = 15,000 - 6,000 = +9,000 บาท
แทนที่จะได้กำไร 15,000 บาท
กรณีที่ 2 : หุ้น A ลง 15% เป็น 8.5 บาทต่อหุ้น
- ขาดทุนจากหุ้น A 15% เท่ากับ (-15,000) บาท
- ราคาของ Put DW จะสวนทางกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิง และมีอัตราทด 15.5 เท่า
ทำให้ Put DW อ้างอิงหุ้น A อาจมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.0 บาทต่อหน่วย
ดังนั้น กำไรจาก Put DW เท่ากับ (1.0-0.3) x 20,000 = (+14,000) บาท
สุทธิแล้ว เราจะขาดทุน (-15,000) + 14,000 = (-1,000) บาท
แทนที่จะขาดทุน -15,000 บาท
จะเห็นว่าการใช้ Protective Put ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตเรา ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงได้ โดย DW แต่ละรุ่นจะมีอัตราทดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการบริหารความเสี่ยง
นอกจากนี้ การเลือกซื้อ DW ทั้ง Put และ Call ก็มีเทคนิคเพิ่มเติม ดังนี้
- เลือก DW ที่มีค่า Time Decay ต่ำ
เพื่อที่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ราคาจะลดลงน้อยกว่า DW รุ่นอื่น ๆ
เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการถือ DW ไว้ระยะหนึ่ง หรือลดความเสี่ยงจากการลดลงของราคา
- เลือก DW ที่อยู่ในสถานะ ITM ที่ย่อมาจาก In-the-Money
เพื่อให้สามารถใช้สิทธิในการขายหลักทรัพย์อ้างอิงในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน
ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้เพิ่มขึ้น
โดยนักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ Protective Put เพื่อบริหารและป้องกันความเสี่ยงของหุ้นไทยด้วย DW ที่อ้างอิงหุ้นไทย
และบริหารความเสี่ยงของหลักทรัพย์อ้างอิงหุ้นต่างประเทศอย่าง DR ด้วย DW ที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ
สรุปแล้วการเลือกใช้เครื่องมื่อ DW ถือว่าเหมาะสมทีเดียวในโลกของการลงทุน
เพราะซื้อขายง่ายผ่านบัญชีหุ้นปกติ ไม่ต้องวางหลักประกัน และยังมี Market Maker ดูแลสภาพคล่อง
ที่สำคัญโอกาสขาดทุนสูงสุด จะไม่เกินเงินลงทุนอีกด้วย
หนึ่งในผู้ออก DW ที่ครอบคลุมตลาดไม่น้อยในไทยก็คือ J.P. Morgan หรือ DW41
ที่มี DW บนหลักทรัพย์หลัก ๆ ในไทยครบครัน รวมถึงหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น BABA, XIAOMI, BYD เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน DW และทำความเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน
ใครสนใจลงทุนใน DW ผ่าน J.P. Morgan สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
https://www.jpmorgandw41.com/th/
และหาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ LINE OA @DW41 https://lin.ee/k0ybVCP หรือ DW41 Hotline 02-684-2999
*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon