
ประเทศในอาเซียน เจอภาษีทรัมป์เท่ากัน แต่เสียเปรียบ ไม่เท่ากัน
ประเทศในอาเซียน เจอภาษีทรัมป์เท่ากัน แต่เสียเปรียบ ไม่เท่ากัน /โดย ลงทุนแมน
เป็นที่ทราบกันดีว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อการตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศคู่ค้า ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
เป็นที่ทราบกันดีว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อการตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศคู่ค้า ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน
แต่ระงับการบังคับใช้ไว้ เปิดทางให้ประเทศต่าง ๆ เข้ามาเจรจา จนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ที่คาดว่าจะเป็นตัวเลขสุดท้ายในหลายประเทศ โดยเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 8 สิงหาคม
ในช่วงที่ผ่านมา ทุกประเทศต่างล้วนพยายามเจรจาให้ถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศตน
แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงตัวเลขของภาษีนำเข้า อาจไม่สามารถบอกได้ว่า ประเทศใดจะเสียเปรียบจากภาษีนำเข้านี้ มากหรือน้อยกว่ากันในทันที
เมื่อตัวเลขอัตราภาษีบอกผลกระทบไม่ได้ทั้งหมด เราจึงอาจต้องอาศัยข้อมูลอื่นเข้ามาบอกเราเพิ่มเติม
แล้วข้อมูลดังกล่าวคืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ทั้งนี้ ประเทศที่ถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากคู่ค้า มีแนวโน้มสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผ่านการส่งออกที่หดตัวลง ซึ่งหากประเทศนั้น ๆ มีการนำเข้ายังคงเท่าเดิม ก็จะกดดันให้ดุลการค้าแย่ลงตาม กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
และสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก หากประเทศคู่แข่งทางการค้า ถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า เพราะจะยิ่งกระทบต่อศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า
หากมองจากการปรับขึ้นอัตราภาษีของทรัมป์
ดูคร่าว ๆ เราอาจสรุปไปได้ว่า ในอาเซียน เวียดนาม ที่โดนสหรัฐฯ เก็บภาษี 20.0% มีแนวโน้มเสียผลประโยชน์มากกว่า ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่โดนภาษี 19.0%
ดูคร่าว ๆ เราอาจสรุปไปได้ว่า ในอาเซียน เวียดนาม ที่โดนสหรัฐฯ เก็บภาษี 20.0% มีแนวโน้มเสียผลประโยชน์มากกว่า ไทย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่โดนภาษี 19.0%
อย่างไรก็ดี หากเราประเมินผลกระทบผ่านแนวโน้มของอัตราการค้า หรือ Terms of Trade (TOT) ข้อสรุปที่ได้อาจต่างไปจากเดิม..
Terms of Trade (TOT) คืออะไร ?
Terms of Trade (TOT) ใช้เป็นตัวชี้วัดด้านกำลังซื้อของประเทศชนิดหนึ่ง โดยคิดในแง่ที่ว่า ประเทศมีรายได้จากการส่งออกมากเท่าใด เมื่อเทียบกับการจ่ายซื้อสินค้านำเข้า 1 หน่วย
ซึ่งคำนวณจาก TOT = (Export Price Index / Import Price Index) x 100
หรือราคาสินค้าส่งออกโดยรวม เทียบกับราคาสินค้านำเข้าโดยรวม
หรือราคาสินค้าส่งออกโดยรวม เทียบกับราคาสินค้านำเข้าโดยรวม
อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น สมมติว่า เรามีรายจ่ายประจำจากการซื้อสินค้านำเข้า ขณะที่รายได้มีเพียงจากการขายสินค้าส่งออก
ฉะนั้น หากเราอยากมีกำลังการใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ของเราต้องเพิ่มขึ้น ในอัตราที่มากกว่า เมื่อเทียบกับรายจ่าย หรือเพิ่มขนาด TOT
โดยปกติแล้ว เราจะวัด TOT ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เทียบกับปีฐาน โดยกำหนดค่าของปีฐานเท่ากับ 100
หาก TOT > 100 แสดงว่า มูลค่าการส่งออกสินค้า เพิ่มขึ้นเร็วกว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้า หรือประเทศมีกำลังซื้อที่ดีขึ้น
หาก TOT < 100 แสดงว่า มูลค่าการส่งออกสินค้า เพิ่มขึ้นช้ากว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้า หรือประเทศมีกำลังซื้อที่ถดถอยลง
ยกตัวอย่าง ในปัจจุบัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้ปี 2012 เป็นปีฐาน
ขณะที่เดือน มิ.ย. ปี 2025
TOT ของไทย อยู่ที่ 95.96 ซึ่งแปลว่า ไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่มูลค่าการส่ง ออกเติบโตไม่ทัน กับมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้น
TOT ของไทย อยู่ที่ 95.96 ซึ่งแปลว่า ไทยกำลังเผชิญกับภาวะที่มูลค่าการส่ง ออกเติบโตไม่ทัน กับมูลค่าการนำเข้าที่สูงขึ้น
ซึ่งข้อมูลเช่นนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสะท้อนถึงประเด็นความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทย ที่ลดลงตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ย้อนกลับมาที่ผลกระทบของภาษีทรัมป์ โดยในเบื้องต้น มีแนวโน้มลด TOT ของประเทศคู่ค้า จากความต้องการซื้อสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง (ประเทศคู่ค้าส่งออกได้น้อยลง)
อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ก็สามารถหักล้างผลกระทบ ได้จากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน เพราะราคาสินค้าส่งออก คือ ราคาสินค้าที่ถูกขายเป็นสกุลเงินของประเทศปลายทาง ก่อนแปลงกลับมาเป็นรายได้ในรูปของสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศผู้ส่งออก
ทำให้เมื่อความต้องการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ลดลง ความต้องการในสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออก ก็มีแนวโน้มลดลงตาม ส่งผลให้ค่าเงินท้องถิ่นของประเทศผู้ส่งออก อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ราคาสินค้าในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงดูถูกลง ซึ่งจะมีส่วนกระตุ้นให้มีการกลับเข้ามาซื้อสินค้า ดังนั้น ระดับการลดลงของ TOT ของประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ จึงอาจไม่ได้รุนแรงเท่ากับตัวเลขภาษีทรัมป์ตรง ๆ
จากข้างต้น ปัจจัยที่มีส่วนสำคัญต่อการปรับตัวของ TOT คือ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีผลกระทบต่อ TOT ทั้ง 2 ส่วน
1) ฝั่งมูลค่าการส่งออก
หากค่าเงินของประเทศผู้ส่งออก อ่อนค่าลง
หรือราคาสินค้าส่งออกในสกุลเงินผู้ซื้อ ถูกลง ก็มีแนวโน้มหนุนมูลค่าการส่งออก
หากค่าเงินของประเทศผู้ส่งออก อ่อนค่าลง
หรือราคาสินค้าส่งออกในสกุลเงินผู้ซื้อ ถูกลง ก็มีแนวโน้มหนุนมูลค่าการส่งออก
2) ฝั่งมูลค่าการนำเข้า
หากค่าเงินของประเทศผู้นำเข้า อ่อนค่าลง
หรือราคาสินค้านำเข้าในสกุลเงินผู้ซื้อ แพงขึ้น ก็มีแนวโน้มกดดันให้มูลค่าการนำเข้าลดลง
หากค่าเงินของประเทศผู้นำเข้า อ่อนค่าลง
หรือราคาสินค้านำเข้าในสกุลเงินผู้ซื้อ แพงขึ้น ก็มีแนวโน้มกดดันให้มูลค่าการนำเข้าลดลง
ด้วยเหตุนี้ ประเทศที่มีสถานะส่งออกสุทธิ ก็คือ มีมูลค่าการส่งออก มากกว่า มูลค่าการนำเข้า
หากค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จะส่งผลให้ TOT มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ดี รวมถึงช่วยลดผลกระทบของภาษีทรัมป์ได้อีกแรง
หากค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จะส่งผลให้ TOT มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ดี รวมถึงช่วยลดผลกระทบของภาษีทรัมป์ได้อีกแรง
และหากประเทศพึ่งพาการส่งออกในระดับสูงของเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของ TOT จะช่วยป้องกันการถดถอยลงของเศรษฐกิจร่วมด้วย นั่นเอง
เมื่อย้อนกลับมาประเมินที่ประเทศอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสู่สหรัฐฯ สูงเกิน 10.0% ต่อมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ได้แก่
กัมพูชา (38.0%)
เวียดนาม (29.0%)
ไทย (18.0%)
ฟิลิปปินส์ (17.0%)
มาเลเซีย (13.0%)
เวียดนาม (29.0%)
ไทย (18.0%)
ฟิลิปปินส์ (17.0%)
มาเลเซีย (13.0%)
ส่วนการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ถึงวันที่ 5 สิงหาคม
เงินบาทไทย แข็งค่าขึ้น 5.18%
เงินริงกิตมาเลเซีย แข็งค่าขึ้น 4.97%
เงินเรียลกัมพูชา อ่อนค่าลง 0.26%
เงินเปโซฟิลิปปินส์ อ่อนค่าลง 0.49%
เงินดองเวียดนาม อ่อนค่าลง 2.35%
เงินริงกิตมาเลเซีย แข็งค่าขึ้น 4.97%
เงินเรียลกัมพูชา อ่อนค่าลง 0.26%
เงินเปโซฟิลิปปินส์ อ่อนค่าลง 0.49%
เงินดองเวียดนาม อ่อนค่าลง 2.35%
เราจะพบว่า แม้มาเลเซียและไทย จะถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เพียง 19.0% ต่ำกว่าเวียดนามที่โดน 20.0% แต่ทั้ง 2 ประเทศ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบเชิงลบที่มากกว่าเวียดนาม ผ่านปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน ที่สกุลเงินท้องถิ่น แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวของ TOT
ส่วนเวียดนาม ด้วยค่าเงินดองที่อ่อน เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ก็จะทำให้สินค้าของเวียดนาม ดูถูกลง และช่วยลดผลกระทบต่ออัตราภาษีของทรัมป์ไปได้บางส่วน
ขณะที่เศรษฐกิจไทย มีแนวโน้มได้รับผลกระทบด้านลบจากภาษีทรัมป์มากกว่า มาเลเซีย ซึ่งเป็นผลจากทั้งปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน และสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออกสู่สหรัฐฯ ของไทย ที่สูงกว่าโดยเปรียบเทียบ
จากปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยนนี่เอง ที่ทำให้ในช่วงสงครามการค้าของรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ที่จีนถูกปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น
หนึ่งในวิธีการที่จีนใช้บรรเทาผลกระทบด้านการค้าและเศรษฐกิจ คือ ทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงราว 14.5% ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน 2018 ถึงกันยายน 2019
อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีเพียงปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่กระทบกับ TOT เท่านั้น แต่ยังคงมีปัจจัยอื่นที่สามารถปรับเปลี่ยนแนวโน้มของ TOT ได้เช่นกัน โดยเฉพาะลักษณะของสินค้า
หากประเทศผู้ส่งออกเชื่อว่า สินค้าส่งออกของตนนั้นมีความเฉพาะตัวสูง และมีความจำเป็นต่อประเทศผู้นำเข้า
หากประเทศผู้ส่งออกเชื่อว่า สินค้าส่งออกของตนนั้นมีความเฉพาะตัวสูง และมีความจำเป็นต่อประเทศผู้นำเข้า
หรือภาษีนำเข้าไม่ได้ทำให้ TOT แย่ลงมากนัก กรณีนี้ ก็อาจไม่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อหนุนการส่งออก หรือบรรเทาผลกระทบของภาษีทรัมป์
ในทางตรงกันข้าม หากสินค้าที่ส่งออกไม่ได้มีความเฉพาะตัวมาก สามารถถูกทดแทนได้ด้วยสินค้าจากประเทศคู่แข่ง
นอกจากจะเสียผลประโยชน์จากการถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าแล้ว ยังอาจเสียประโยชน์เพิ่มเติม หากประเทศคู่แข่งมีการใช้เครื่องมือด้านอัตราแลกเปลี่ยนมาชิงความได้เปรียบด้านการค้านี้
ดังนั้น ไทยอาจไม่ใช่ผู้เสียประโยชน์สูงสุดในอาเซียน หากสินค้าไทยมีความเฉพาะตัวมาก
แล้วเราคิดว่า ตอนนี้ประเทศไทย อยู่ในสถานการณ์ไหน
ระหว่างสินค้าส่งออกมีความเฉพาะตัวสูง
มีความจำเป็นต่อประเทศผู้นำเข้า หรือตรงกันข้าม ?
ระหว่างสินค้าส่งออกมีความเฉพาะตัวสูง
มีความจำเป็นต่อประเทศผู้นำเข้า หรือตรงกันข้าม ?
References
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- BSt Europe
- EBSCO
- ING Economics
- Peterson Institute for International Economics
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- BSt Europe
- EBSCO
- ING Economics
- Peterson Institute for International Economics