PETPAL X ลงทุนแมน

ประเทศไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมูลค่ารวมสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 2568 ประเทศไทยจะมีมูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และขยายตัว 15% ต่อปี

ไม่ใช่แค่ตลาดส่งออกที่เติบโตอย่างเดียว แต่ตลาดในประเทศก็ยังมีแนวโน้มโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2568 คาดว่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยจะมีมูลค่า 46,000 ล้านบาท เติบโต 12% จากปีก่อน

เหตุผลมาจากเทรนด์ Pet Parent ที่คนทั่วโลกหันมาเลี้ยงสัตว์เหมือนลูกรักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ตามมาคือ แบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด เพื่อแย่งชิงเค้กก้อนใหญ่นี้

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า บริษัทไทยรายหนึ่งที่ก่อตั้งโดยผู้บริหารรุ่นใหม่และทำธุรกิจครบวงจร ทั้ง ODM และ House Brand นี้มากว่า 10 ปี โดยใช้จุดขายที่สร้าง “ความต่าง” จากคู่แข่งมากมาย ซึ่งแม้จะทำธุรกิจมาไม่นาน แต่ก็พาบริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

เช่น ธุรกิจ ODM หรือ Original Design Manufacturer โดยรับจ้างออกแบบและผลิต ที่มีทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์ร่วมพัฒนาไปกับลูกค้า ตั้งแต่การคิดค้นสูตรไปจนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์

บริษัทที่พูดถึงคือ เพ็ทพัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PETPAL

แล้ว PETPAL ทำธุรกิจด้วยวิธีไหน ?
จึงได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำในเมืองไทย
ลงทุนแมน จะเล่าให้ฟัง

PETPAL ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556 ทำธุรกิจซื้อมาขายไปสำหรับสินค้าหลากหลายประเภท หนึ่งในสินค้าที่ขายในขณะนั้นคืออาหารสัตว์เลี้ยง

ซึ่งทำให้บริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ควบคู่กับความตั้งใจของผู้ก่อตั้งที่อยากให้น้องหมาน้องแมวได้รับอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนทัดเทียมมนุษย์ จึงปรับเปลี่ยนธุรกิจมาสู่การรับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงในปีต่อมา

โดยเริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งแรกเพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดแห้งแบบเม็ดและต่อยอดธุรกิจด้วยการรับจ้างผลิตแบบครบวงจร ODM ควบคู่ไปกับสร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง เช่น Boom, Boom Gold, Animeals, MYPETS, Smillie ที่ครอบคลุมตั้งแต่อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม จนถึงกลุ่มราคาที่เข้าถึงง่าย

โดย PETPAL มีความแตกต่างจากผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีอยู่แล้วในตลาดฯ อย่าง AAI และ ITC ตรงที่ AAI และ ITC นั้นจะเน้นที่อาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ในขณะที่ PETPAL นั้นเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดแห้งแบบเม็ด

ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นรับจ้างผลิต, ตลาดส่งออก รวมถึงแบรนด์ของตนเอง ต่างมีการเติบโตที่มั่นคงและมีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว

เพื่อตอบสนอง demand ของลูกค้า ทำให้ต้องลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2562 บริษัทมีกำลังการผลิต 18,000 ตันต่อปี
ล่าสุดปี 2568 บริษัทมีกำลังการผลิตสูงถึง 36,000 ตันต่อปี

จะเห็นว่าภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 100% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สิ่งที่ตามมาก็คือ ผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปี 2566 รายได้จากการขาย 574.17 ล้านบาท กำไรสุทธิ 26.29 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้จากการขาย 682.72 ล้านบาท กำไรสุทธิ 66.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 152%

ส่วนไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 27.20 ล้านบาท
เทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2567 มีกำไรสุทธิ 19.19 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 42%

สัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศประมาณ 57% และในประเทศประมาณ 43%

โดยสัดส่วนตามกลุ่มธุรกิจมาจากรับจ้างผลิตประมาณ ODM 76% และแบรนด์ตัวเองประมาณ 24%

เบื้องหลังที่ PETPAL เติบโตนั้น คงไม่ใช่แค่เทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงเพียงอย่างเดียว

ภายใต้ตลาด Red Ocean หากไม่มี “จุดตัดที่แตกต่าง ตอบโจทย์ลูกค้า” คงยากที่จะประสบความสำเร็จในสมรภูมิการแข่งขัน

“จุดตัด” ที่ว่านั้นก็คือ (1) “ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์” ที่สร้างความ “ต่าง” ทั้งรับจ้างผลิตหรือ ODM รวมไปถึงแบรนด์ของตัวเองหรือ House Brand และ (2) ความยืดหยุ่นในการให้บริการที่ครบวงจร ทั้งในส่วนของจำนวนขั้นต่ำในการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ การคิดค้นสูตร จนถึงการออกแบบและจัดหาบรรจุภัณฑ์ให้กับลูกค้า

แทบจะเรียกได้ว่าลูกค้ามาแค่ตัวก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตัวเองที่ PETPAL ได้เลย

โดยธุรกิจ ODM มีลูกค้าทั้ง SME และบริษัทในประเทศ รวมทั้งลูกค้าหลากหลายประเทศที่ใช้บริการของ PETPAL เช่น มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ เวียดนาม, อินโดนีเซีย

ยกตัวอย่างกระบวนการทำงานง่าย ๆ ก็เช่น

เมื่อลูกค้ามีแผนธุรกิจอาหารแมวชนิดเม็ด ที่มีภาพลักษณ์เข้าถึงง่าย และเจาะตลาดแมส ทาง PETPAL มีทีมงาน R&D และทีมการตลาดมาช่วยกันพัฒนาสินค้า ทั้งการให้คำปรึกษาในทุกมิติ อีกทั้งยังช่วยปรับแต่งสูตรอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการถูกต้องและครบถ้วน และออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและความต้องการตลาด

นอกจากเจ้าของแบรนด์จะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพภายใต้การผลิตตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสธุรกิจที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการเติบโตไปพร้อมกับ “คู่ค้า”

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจรับจ้างผลิต ย่อมต้องเผชิญกับการแข่งขันตัดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้า

PETPAL จึงต้องการบริหารจัดการความเสี่ยงตรงนี้ โดยอาศัยจุดแข็งของตัวเอง ทั้งการมีโรงงานผลิตมาตรฐานระดับเกรดส่งออก ซึ่งได้รับรองมาตรฐานในระดับสากล, การมี Know-How ทั้งเชิงการผลิตและการตลาดมาคิดค้นสร้างแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับพรีเมียมจนถึงกลุ่มราคาที่เข้าถึงง่าย เช่น

- Animeals และ Boom Gold อาหารแมวและสุนัข เกรดพรีเมียม ที่เน้นเรื่องวัตถุดิบระดับพรีเมียม
- Smillie และ Boom อาหารสุนัขและแมว สูตรมาตรฐาน คุณภาพในราคาที่เข้าถึงง่าย

แบรนด์เหล่านี้ มีทั้งอาหารสุนัขและแมว มีแพ็กเกจจิงหลายไซส์ มีหลายรสชาติ ถือเป็นวิธีสร้างพอร์ต House Brand ให้แข็งแกร่งครอบคลุมทุกโอกาสในการขาย

ที่สำคัญ ธุรกิจ House Brand จะมี “อัตรากำไร” มากกว่าการ “รับจ้างผลิต” เพราะสามารถกำหนดทิศทางได้ทั้งราคาขาย โปรโมชั่น และช่องทางจัดจำหน่าย ที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์

แต่การจะทำทุกอย่างที่กล่าวมานั้นให้สำเร็จ หัวใจสำคัญคือ การพัฒนาสินค้าคุณภาพ

รู้หรือไม่ว่า PETPAL เป็นบริษัทที่มีทีมพัฒนาสูตรและทดสอบอาหารสัตว์เลี้ยงของตนเอง ทำให้สามารถพัฒนาสูตรอาหารที่โดดเด่นและแตกต่างได้อย่างชัดเจน

โดย House Brand ของบริษัทจะมีช่องทางจัดจำหน่ายนอกจากผ่าน Pet Shop แล้วนั้น ยังมีการขายผ่านทางออนไลน์อย่าง Lazada, Shopee, Tiktok Shop Facebook และ LINE ของบริษัท

สรุปได้ว่า เบื้องหลังการเติบโตของ PETPAL เกิดจากทั้งธุรกิจ ODM และ House Brand ที่มีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าเป็นแกนหลักผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ และการให้บริการที่ยืดหยุ่นและครบวงจรในธุรกิจ ODM

ทำให้ PETPAL วางรากฐานธุรกิจในแนวทางการเติบโตยั่งยืนด้วยส่วนผสมในธุรกิจที่ยืนบนพื้นฐานความแข็งแกร่ง

ล่าสุด PETPAL ก็ได้ยื่น Filing เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai โดยมีเป้าหมายเสริมความแข็งแกร่งบริษัทผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงครบวงจร และสร้างมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงให้เติบโต

References
-Company Profile บริษัท เพ็ทพัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
-ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท เพ็ทพัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
-https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Pet-Food-IAO104-19-09-24.aspx