SMR โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ตั๋วใบสุดท้ายของไทย ในขบวนรถไฟที่ชื่อ AI

SMR โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ตั๋วใบสุดท้ายของไทย ในขบวนรถไฟที่ชื่อ AI

SMR โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ตั๋วใบสุดท้ายของไทย ในขบวนรถไฟที่ชื่อ AI /โดย ลงทุนแมน
ไทยต้องหาที่นั่งเบียด ในขบวนรถไฟ AI ที่กำลังเติบโต
แม้ที่นั่งส่วนใหญ่จะเป็นของสหรัฐฯ และจีน
ซึ่งหนึ่งในเกมสำคัญที่ทำให้ไทยได้ตั๋วขบวนนี้
นั่นคือ SMR หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ที่เป็นเชื้อเพลิงที่ขาดไม่ได้ของขบวนรถไฟนี้
แล้ว SMR ช่วยให้ไทยได้ตั๋วที่นั่งในขบวนนี้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รถไฟที่ชื่อว่า AI มีที่นั่งให้กับประเทศต่าง ๆ มากมาย
- สหรัฐฯ โดดเด่นเรื่องการวิจัยและพัฒนาโมเดล AI, ชิปประมวลผลขั้นสูง รวมไปถึงการเอา AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ, หุ่นยนต์ Humanoid
- จีน โดดเด่นเรื่องการเอา AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ Humanoid หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบ Smart Home
- ไต้หวัน โดดเด่นเรื่องการผลิตชิปหลายรูปแบบ โดยเฉพาะชิปประมวลผลขั้นสูง
นอกจากที่พูดมานี้แล้ว ก็ยังมีประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่เกาะรถไฟขบวนนี้ได้ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมชิป
แน่นอนว่า พอประเทศเหล่านี้ได้ตั๋วที่นั่งไปแล้ว ก็คงไม่ยอมลุกออกง่าย ๆ ให้ประเทศไหนก็ตาม
แต่ทั้งหมดนี้ ขบวนรถไฟนี้จะวิ่งไปได้ไม่ไกลเลย
ถ้าไม่มีเชื้อเพลิงสำคัญที่มาจากพลังงานไฟฟ้า..
พลังงานไฟฟ้า เป็นเชื้อเพลิงที่ป้อนให้กับ Data Center ที่ทำตัวเป็นทั้งครูคอยสอน AI ให้เก่งขึ้น พร้อมกับทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ให้อยู่บนโลกออนไลน์
แต่การต้องประมวลผลอยู่ทุกวันทุกเวลาทำให้ Data Center ใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะมาก
และนี่ก็เป็นสาเหตุทำให้บริษัทเทคโนโลยี ที่เราคุ้นหูกันอย่าง Amazon และ Microsoft ต้องหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอกับการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งไม่ใช่แค่พลังงานไฟฟ้าทั่วไป แต่ต้องเป็นพลังงานไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานสะอาด เช่น ลม แสงอาทิตย์ หรือนิวเคลียร์อีกด้วย
แต่ปัญหาคือ ลมและแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ผลิตได้ไม่แน่นอน ทำให้สุดท้าย ขบวนรถไฟ AI จึงหันมาสนใจพลังงานนิวเคลียร์แทน
และไม่ใช่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่เป็นภาพจำของใครหลายคน แต่เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋วที่เรียกว่า SMR แทน
ที่บอกว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ก็เพราะว่า โรงไฟฟ้าแบบใหม่ใช้พื้นที่น้อยกว่าเดิมถึง 10 เท่า
พูดให้เห็นภาพมากขึ้น ตอนนี้ไอคอนสยามมีที่ดินทั้งหมดราว 55 ไร่ ถ้าประเทศไทยอยากสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม ก็เหมือนกับการที่เราต้องมีพื้นที่สร้างไอคอนสยามประมาณ 20 แห่งเลยทีเดียว
แต่ถ้าเราสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว มันเหมือนกับการที่เราแค่ต้องมีพื้นที่สร้างไอคอนสยามให้ใหญ่ขึ้น ประมาณ 2 เท่าแค่นั้น
พอใช้พื้นที่น้อยลง ส่งผลให้ SMR ใช้เวลาก่อสร้างน้อยลงตามไปด้วย และทำให้ลดต้นทุนการก่อสร้างลง
จากเดิมที่ต้องใช้เวลาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบ 6 ปี
แต่ SMR ลดเวลาการก่อสร้างให้เหลือราว 3-4 ปีเท่านั้น
แถมจุดเด่นสำคัญของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋วคือ การถูกออกแบบมาแยกส่วนกันที่เรียกว่า “โมดูล”
ซึ่งในตัวโมดูลนี้ จะผลิตไฟฟ้าได้ในตัว โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับโมดูลอื่น
แต่ละโมดูลจะผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 300 เมกะวัตต์ แปลว่า ถ้าอยากให้โรงไฟฟ้าผลิตได้มากกว่านี้ ก็แค่เพิ่มจำนวนโมดูลลงไปมากขึ้นแค่นั้น
อยากได้โรงไฟฟ้า 600 เมกะวัตต์ ก็เพิ่มอีก 1 โมดูล
อยากได้โรงไฟฟ้า 900 เมกะวัตต์ ก็เพิ่มอีก 2 โมดูล
อยากได้โรงไฟฟ้า 1,200 เมกะวัตต์ ก็เพิ่มอีก 3 โมดูล
เหมือนกับการที่เราต่อเลโก้ให้ใหญ่หรือเล็กลงได้อิสระตามที่เราต้องการได้เลยทันที
พอลองนึกภาพตามแบบนี้ มันก็ดูง่ายมากที่จะอยากผลิตไฟฟ้าเพิ่ม ต่างจากโรงไฟฟ้าแบบเดิม ๆ ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าจำกัดไปเลยตั้งแต่ก่อสร้างตอนแรก
ทั้งเรื่องต้นทุนและความยืดหยุ่นของ SMR จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมบริษัทเทคฯ หลายเจ้า อยากซื้อไฟล่วงหน้าจากโรงไฟฟ้าพวกนี้ แม้ยังไม่เริ่มผลิตก็ตาม
- Google เซ็นสัญญากับ Kairos Power ที่เริ่มผลิตไฟฟ้าจาก SMR ภายในปี 2030
- Amazon ลงทุนประมาณ 16,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโปรเจกต์โรงไฟฟ้า SMR 3 แห่งในสหรัฐฯ
- Microsoft เซ็นสัญญาว่าจะซื้อไฟจาก Oklo บริษัทที่กำลังพัฒนา SMR ที่เน้นใช้กากนิวเคลียร์รีไซเคิล
สำหรับประเทศไทยในครึ่งปีแรกของปี 2025 มีต่างชาติที่เข้ามาลงทุนโดยตรง หรือ FDI มูลค่าประมาณ 700,000 ล้านบาท ซึ่งในนี้มีสัดส่วนของ Data Center มากถึง 500,000 ล้านบาท แปลว่าประเทศไทยได้เริ่มจองตั๋วขบวนรถไฟ AI แล้ว
แต่สำหรับขบวนรถไฟ AI ยังต้องการการลงทุนใน Data Center อีกมากในอนาคต ซึ่งตามมาด้วยความต้องการพลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก
และถ้าประเทศไทยไม่อยากตกขบวนรถไฟ AI และต้องการยืนยันการจองตั๋วใบสุดท้าย กุญแจสำคัญก็คือโรงไฟฟ้า SMR ที่เป็นเชื้อเพลิงสำคัญในอนาคต
แต่ปัญหาคือ พอพูดถึงนิวเคลียร์ เราก็จะกังวลทันที
เพราะยังมีภาพจำกับเชอร์โนบิล หรือฟูกูชิมะ ที่เกิดการรั่วไหลของนิวเคลียร์จนรังสีกระจายออกไปหลายกิโลเมตร
ถ้ามันรั่ว มันจะอันตรายแค่ไหน เลยกลายเป็นคำถาม ที่ติดในใจของคนไทยหลายคนอยู่ไม่น้อย
แต่ SMR ก็ตอบคำถามที่ยังค้างคาใจนี้ได้
เพราะถ้ามีการรั่วไหลจริง ๆ พื้นที่ 1 กิโลเมตรจะกลายเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง
แม้ฟังแล้วจะดูน่ากลัว แต่ถ้าเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม ที่ต้องมีพื้นที่เฝ้าระวังมากถึง 16 กิโลเมตร
จะทำให้เห็นว่า SMR ดูน่ากังวลน้อยกว่าเดิมลงไปมาก
นอกจากนี้ การทำงานของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปัจจุบัน
เป็นระบบที่สามารถปิดการทำงานได้ด้วยตัวเอง ที่เรียกกันว่า Passive Safety ในเวลาที่มีเหตุการณ์ผิดปกติได้เลย
ซึ่งในกรณีโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ เป็นเพราะระบบไฟฟ้าล้มเหลว จึงทำให้ไม่สามารถปิดการทำงานได้ด้วยตัวเอง
แต่ SMR ไม่ได้ใช้ระบบแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว
SMR ยังถูกพัฒนาให้มีสารหล่อเย็นที่หลากหลาย
ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำแค่อย่างเดียว เพื่อช่วยระบายความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ยืดหยุ่นมากขึ้น
เพราะปกติแล้ว เมื่อนิวเคลียร์เกิดปฏิกิริยาฟิชชัน มันจะเกิดความร้อนมหาศาลขึ้นมาเพื่อช่วยให้น้ำเดือด จนไอน้ำไปปั่นกังหันให้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา
แต่ความร้อนที่เกิดขึ้น ก็ต้องควบคุมมันไม่ให้สูงเกินไป
ทำให้น้ำ กลายเป็นสารหล่อเย็นสำคัญที่เป็นเหมือนคูลฟีเวอร์ไปลดไข้ให้กับนิวเคลียร์
ซึ่งปัจจุบัน SMR สามารถใช้ได้ทั้งฮีเลียม หรือโลหะเหลวอื่นมาทำหน้าที่แทนน้ำ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการระบายความร้อนได้
ดังนั้น SMR จึงไม่ใช่โอกาสที่ไทยจะมองข้ามได้เลย ถ้ายังอยากเกาะขบวนรถไฟ AI ที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
เรามีนิคมอุตสาหกรรม ที่คอยรองรับการมาของเม็ดเงินการลงทุน Data Center อยู่แล้ว การมี SMR ในไทย ก็จะยิ่งติดปีกให้ประเทศไทยมากขึ้นไปอีก
แต่ตอนนี้ ก็อยู่ที่ว่าเราจะคว้าตั๋วรถไฟใบนี้ได้ดีแค่ไหน
หรือจะปล่อยตั๋วใบนี้ ไปให้กับประเทศเพื่อนบ้าน
จนตกรถไฟขบวนนี้ไปแทน..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon