
สัมภาษณ์พิเศษ คุณจี๊ป จากพนักงาน Intel สู่นักลงทุน VC ในซิลิคอนแวลลีย์ มองเห็นโอกาสอะไรที่ไทย ?
สัมภาษณ์พิเศษ คุณจี๊ป จากพนักงาน Intel สู่นักลงทุน VC ในซิลิคอนแวลลีย์ มองเห็นโอกาสอะไรที่ไทย ? /โดย ลงทุนแมน
ซิลิคอนแวลลีย์ เป็นแหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
ที่น่าจะเต็มไปด้วยคนเก่ง ๆ จากหลายประเทศมากมาย
ซิลิคอนแวลลีย์ เป็นแหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
ที่น่าจะเต็มไปด้วยคนเก่ง ๆ จากหลายประเทศมากมาย
แต่รู้ไหมว่า หนึ่งในนั้นยังมีคนไทยที่ชื่อว่า คุณจี๊ป ไคลน์ ซึ่งตอนนี้เป็นทั้งนักลงทุนสตาร์ตอัป และอาจารย์สอนนักศึกษา MBA ที่มหาวิทยาลัย UC Berkeley
ที่น่าสนใจกว่านั้น คุณจี๊ปยังเคยทำงานกับบริษัทระดับโลกอย่าง Intel ในช่วงระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย
วันนี้ลงทุนแมน ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณจี๊ปหลายเรื่อง
ตั้งแต่เทรนด์การลงทุนสตาร์ตอัป ไปจนถึงการที่ประเทศไทย จะเกาะขบวนระดับโลกได้อย่างไร
ตั้งแต่เทรนด์การลงทุนสตาร์ตอัป ไปจนถึงการที่ประเทศไทย จะเกาะขบวนระดับโลกได้อย่างไร
เรียกได้ว่า เป็นบทสนทนาที่ยาวหน่อย แต่ก็เต็มไปด้วยอินไซต์ที่น่าสนใจ ที่จะมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน
เริ่มด้วยคำถามแรกอย่างตรงไปตรงมาว่า
ตอนนี้โลกของสตาร์ตอัป โดยเฉพาะฝั่งซิลิคอนแวลลีย์
ตื่นเต้นและมองเห็นโอกาสกับ AI มากแค่ไหน
ตอนนี้โลกของสตาร์ตอัป โดยเฉพาะฝั่งซิลิคอนแวลลีย์
ตื่นเต้นและมองเห็นโอกาสกับ AI มากแค่ไหน
คุณจี๊ปตอบว่า แน่นอน ยิ่งถ้าเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ AI ความสามารถในการขยายขนาดหรือ Scalable จะถูกให้ความสนใจมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT วันแรกทำธุรกิจแบบเจาะตลาดทั้งโลกไปเลย แตกต่างจากการทำธุรกิจแบบเมื่อก่อน ที่เน้นเจาะตลาดในประเทศไปก่อน แล้วค่อยขยับไปสู่ตลาดภูมิภาคหรือระดับโลก
หรืออีกตัวอย่างคือ Uber ซึ่งวันแรก คุณทราวิส คาลานิก ผู้ก่อตั้งบริษัท ไปบอกกับนักลงทุนว่า ขนาดของตลาดของ Uber คือ “รถยนต์ทุกคันที่อยู่บนโลกนี้”
พอเทรนด์เป็นแบบนี้ แล้วสตาร์ตอัปที่ไม่ได้เกี่ยวกับ AI โดยตรง ต้องปรับตัวอย่างไร ?
คุณจี๊ปบอกว่า จริง ๆ บริษัทพวกนี้ก็ต้องปรับโมเดลธุรกิจของตัวเองให้เกี่ยวกับ AI มากขึ้น
โดยทำสิ่งที่เรียกว่า Physical Intelligence เช่น Amazon ที่มีคลังสินค้าของตัวเอง แต่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการตรงนี้ด้วย
หรืออาจเป็นโมเดลธุรกิจที่เน้นการหารายได้จากซอฟต์แวร์มากขึ้น โดยยังมีฮาร์ดแวร์ ที่เป็นตัวให้บริการซอฟต์แวร์อีกทอดหนึ่งแทน
แต่สิ่งสำคัญเลยก็คือ ทำอย่างไรให้ต้นทุนการมีลูกค้าเพิ่มหนึ่งคน เข้าใกล้ศูนย์มากที่สุด ซึ่งถ้าทำได้ นักลงทุนจะตบเท้าเข้ามาหาอย่างแน่นอน
แต่ถ้ายังพึ่งพาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ ๆ อยู่เหมือนเดิม บริษัทพวกนี้จะระดมทุนต่อไปได้ยากขึ้น
และด้วยประสบการณ์ที่คุณจี๊ปเคยทำงานที่ Intel อยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อว่า มองวิกฤติของ Intel ในตอนนี้อย่างไรบ้าง
คุณจี๊ปมองว่า ความผิดพลาดของ Intel ในปัจจุบัน เกิดจากความผิดพลาดที่สะสมต่อเนื่องกันมา โดยเฉพาะการตัดสินใจขายโรงงานผลิตชิปออกไป
Intel เคยเป็นบริษัทที่ทำได้ทุกอย่างด้วยซัปพลายเชนชิปแบบครบวงจร แต่พอขายโรงงานผลิตชิปออกไป ก็เหมือนกับการเอาหัวใจของตัวเองออกไปด้วย
ทั้ง ๆ ที่ Intel คือบริษัทที่สร้างซัปพลายเชนชิปให้กับโลกขึ้นมา เพราะเชื่อว่าบริษัทอื่นต้องเติบโตไปด้วยกัน
TSMC, UMC, HP, Asus, Acer เคยเป็นบริษัทรับจ้างผลิตของ Intel แทบทั้งสิ้น แต่มาวันนี้ โดยเฉพาะ TSMC ล้ำหน้ากว่า Intel ไปมากแล้ว
ความยิ่งใหญ่ของ Intel ไม่ได้หยุดแค่นี้ เพราะยังเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ซิลิคอนแวลลีย์ แถมยังผลิตผู้คนที่สร้างให้ที่แห่งนี้ ไม่มีประเทศไหนที่เลียนแบบได้สมบูรณ์ถึงทุกวันนี้
พอฟังถึงตรงนี้ เราก็เลยถามต่อว่า แล้วอะไรที่ทำให้ซิลิคอนแวลลีย์ ถึงเลียนแบบได้ยากมาก ?
คุณจี๊ปตอบว่า เพราะเมื่อมีคนเก่ง ๆ ทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการเก่ง ๆ ก็อยากมาอยู่ในเครือข่ายนี้ไปเรื่อย ๆ
ซึ่งในฝั่งนักลงทุน ไม่ได้มองว่าเราชนะแค่คนเดียว เพราะเวลาเราลงทุนอะไรสักอย่าง เราจะชวนนักลงทุนรายอื่น ๆ เข้ามาร่วมลงทุนในสตาร์ตอัปที่ตัวเองสนใจด้วย ไม่ใช่กั๊กไว้คนเดียว
ภาพแบบนี้เอง ทำให้เกิดเครือข่ายนักลงทุนสตาร์ตอัปไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นมากไปเลย
แต่เมื่อภาพเป็นแบบนี้ เราเลยตั้งคำถามต่อว่า
แล้วประเทศไทยจะเลียนแบบได้ไหม ?
แล้วประเทศไทยจะเลียนแบบได้ไหม ?
คุณจี๊ปบอกว่า ประเทศไทยก็ต้องสร้าง Ecosystem ของตัวเองแบบที่ซิลิคอนแวลลีย์ทำ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่พี่จี๊ปมาก่อตั้งกองทุน Raisewell ขึ้นมาในประเทศไทย
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่เราเอามาใช้ประโยชน์ได้ และเราสามารถขึ้นขบวนรถไฟ AI นี้ได้ หลังจากเราพลาดขบวนคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนก่อนหน้านี้มาแล้ว
แม้ 20 ปีที่ผ่านมา เราอาจไม่ได้โตเร็วเหมือนเมื่อก่อน แต่สิ่งนั้นในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ต้นทุนจม ที่เราต้องปล่อยมันไปและมองไปยังอนาคตดีกว่า
และจริง ๆ แล้ว การมีตลาดเล็กอาจไม่ได้เป็นข้อจำกัดของสตาร์ตอัปในไทย เพราะเมื่อหันไปดูประเทศเล็กกว่าอย่างสิงคโปร์ ก็สามารถทำตัวไประดับโลกได้
เราจึงอย่าไปมองว่าจุดอ่อนเรามีอะไร แต่ให้มองว่าจุดแข็งของเรามีอะไร เช่น อาหาร เกษตรกรรม ที่เป็นเหมือน IP ของเราที่ประเทศอื่นไม่มีตรงนี้แทน
แน่นอนว่า HealthTech ก็อาจเป็นโอกาสที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย แต่ก็ต้องรับมือกับความท้าทายในการขยายธุรกิจไปสู่ประเทศอื่น ๆ ให้ดี
เพราะตัวธุรกิจนี้ ต้องผ่านการรับรองจาก FDA หรือองค์การอาหารและยาของแต่ละประเทศ ว่าผ่านเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงของธุรกิจนี้ตามไปด้วย
คราวนี้ก็มาถึงคำถามสุดท้ายกับคุณจี๊ปว่า อยากฝากอะไรถึงคนที่อยากทำสตาร์ตอัปในประเทศไทยไหม ?
อย่างที่บอกไปว่า สตาร์ตอัปต้องเป็นบริษัทที่สามารถขยายขนาดได้ โดยที่ต้นทุนลูกค้าที่เพิ่มมา เข้าใกล้หรือเทียบกับศูนย์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นการทำธุรกิจทั่วไป ก็อาจไม่ใช่สตาร์ตอัป แต่ถ้ามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยธุรกิจนั้น เช่น การทำร้านกาแฟที่มีเทคโนโลยีเข้ามาด้วยก็จะดีกว่า
แต่ก็ไม่ได้หวังให้ทุกคนที่อยากเป็นผู้ประกอบการ ต้องหันมาทำธุรกิจเทคโนโลยีกันหมด เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เราคงไม่มีร้านตัดผม ร้านกาแฟ หรือร้านอะไรที่จำเป็นกับชีวิตประจำวันไปเลยแทน
และจุดสำคัญที่ทำให้สตาร์ตอัปอยู่รอดได้หรือไม่ คำตอบหลักอยู่ที่ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ที่สามารถยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยีหรือตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ผู้ร่วมก่อตั้ง ต้องมีความหลากหลายมากพอ ที่จะแบ่งว่าใครดูแลภาพรวม เงินทุน หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไปเลย ซึ่งสำคัญมากในการพาสตาร์ตอัปไปตลอดรอดฝั่ง
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทสนทนากับคุณจี๊ป คนไทยที่ไปโลดแล่นบนเวทีระดับโลกอย่างซิลิคอนแวลลีย์ ที่ทำให้เราได้ข้อคิดต่าง ๆ กลับมามากมาย
ซึ่งสิ่งที่ลงทุนแมนชอบมากสุด นั่นคือ ที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ แต่นั่นก็เป็นต้นทุนจม ที่เราเสียไปแล้ว
ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำต่อไปคือ ไม่ต้องสนใจต้นทุนจมที่เสียไปแล้วในอดีต
และต้องมองไปข้างหน้าแทน..
และต้องมองไปข้างหน้าแทน..