แจกวิธีบันทึก ต้นทุนหุ้นนอก FIFO, LIFO และ Average Cost สำหรับคนอยากยื่นภาษี ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

แจกวิธีบันทึก ต้นทุนหุ้นนอก FIFO, LIFO และ Average Cost สำหรับคนอยากยื่นภาษี ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

แจกวิธีบันทึก ต้นทุนหุ้นนอก FIFO, LIFO และ Average Cost สำหรับคนอยากยื่นภาษี ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ ? กรมสรรพากรอนุญาตให้เราบันทึกต้นทุน-กำไร จากการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ด้วยวิธีการทางบัญชีแบบไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น FIFO, LIFO หรือ Average Cost ก็ตาม
และต่อให้ไม่ใช่วิธีเดียวกันกับแพลตฟอร์มก็ยังทำได้
แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องไม่เปลี่ยนแปลงวิธีบันทึกต้นทุนไปมา
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ แต่ละวิธีการมีข้อดีและความเหมาะสมกับคนลงทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เราประหยัดภาษีได้ไม่น้อยเลย
บันทึกต้นทุนหุ้นนอกมีอะไรบ้าง และทำอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
บันทึกต้นทุนหุ้นนอก ด้วยวิธีการทางบัญชีทั่วไป สามารถทำได้ 3 วิธีหลักคือ
1. FIFO (First-In, First-Out) วิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบ “เข้าก่อน ออกก่อน”
เข้าใจแบบง่าย ๆ คือ ราคาหุ้นที่เราเข้าซื้อก่อน จะถูกนำมาคิดเป็นต้นทุนก่อน เมื่อเราขายหุ้นออกไป
ตัวอย่างวิธีคิดต้นทุนแบบ FIFO
วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 15 บาท จำนวน 100 หุ้น
วันที่ 15 มิถุนายน 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท จำนวน 100 หุ้น
แล้ววันที่ 30 สิงหาคม 2568 ตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 16 บาท จำนวน 100 หุ้น
การคำนวณต้นทุนหุ้น A ที่ขายไป = 15 x 100 = 1,500 บาท
หรือ 1,500 / 100 = 15 บาทต่อหุ้น
เพราะเราจะเอาต้นทุนหุ้นที่เราเข้าซื้ออันดับแรกมาคิด แล้วค่อยไล่ไปอันดับถัดไป
แต่ถ้าวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เราตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 16 บาท จำนวน 150 หุ้น ต้นทุนก็จะเปลี่ยน เพราะเราหยิบหุ้น A ในก้อนที่ 2 มาคิดต้นทุนด้วยแล้ว
โดยต้นทุน = (15 x 100) + (10 x 50) = 2,000 บาท
หรือ 2,000 / 150 = 13.33 บาทต่อหุ้น
ซึ่งวิธีการคิดแบบ FIFO เหมาะกับคนที่ชอบช้อนหุ้นตอนราคาร่วง แล้วทยอยขายหลังหุ้นขึ้น เพราะจะได้รับผลประโยชน์เรื่องภาษีที่จ่ายน้อยลง จากต้นทุนในทางบัญชีที่สูงมาจากช่วงแรกที่เราซื้อหุ้นในราคาที่สูง (ก่อนที่จะร่วงต่ำลงในเวลาต่อมา)
กลับกันหากเราใช้วิธีการ LIFO จากตัวอย่างวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 16 บาท จำนวน 100 หุ้น
ต้นทุน = 100 x 10 = 1,000 บาท
หรือ 1,000 / 100 = 10 บาทต่อหุ้น
จะเห็นได้ว่าต้นทุนต่ำกว่า FIFO อย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีโอกาสเสียภาษีที่สูงขึ้น หากนำกำไรส่วนนี้เข้ามาในไทยนั่นเอง
เพิ่มเติม Compressed FIFO คืออีกหนึ่งวิธีการบันทึกต้นทุน ที่หลายแพลตฟอร์มในไทยใช้ จะมีความคล้ายกับ FIFO แต่ Compressed FIFO จะทำการรวมไม้ในแต่ละวันให้เป็นไม้เดียวกันก่อน แล้วจึงค่อย FIFO
2. LIFO (Last-In, First-Out) วิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบ “เข้าหลัง ออกก่อน”
เข้าใจแบบง่าย ๆ คือ ราคาหุ้นที่เราเข้าซื้อหลังสุด จะถูกนำมาคิดเป็นต้นทุนก่อน เมื่อเราขายหุ้นออกไป
ตัวอย่างวิธีคิดต้นทุนแบบ LIFO
วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 5 บาท จำนวน 100 หุ้น
วันที่ 15 มิถุนายน 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท จำนวน 100 หุ้น
แล้ววันที่ 30 สิงหาคม 2568 ตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 12 บาท จำนวน 100 หุ้น
ต้นทุน = 10 x 100 = 1,000 บาท
หรือ 1,000 / 100 = 10 บาทต่อหุ้น
เพราะเราจะเอาต้นทุนหุ้นที่เราเข้าซื้ออันดับหลังมาคิด แล้วค่อยไล่กลับมาอันดับก่อนหน้า
แต่ถ้าวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เราตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 12 บาท จำนวน 150 หุ้น ต้นทุนก็จะเปลี่ยน เพราะเราหยิบหุ้น A ในก้อนที่ 1 มาคิดต้นทุนด้วยแล้ว
โดยต้นทุน = (10 x 100) + (5 x 50) = 1,250 บาท
หรือ 1,250 / 150 = 8.33 บาทต่อหุ้น
เหมาะกับคนที่ชอบทยอยซื้อหุ้นในช่วงขาขึ้น แล้วทยอยขายทีหลัง เพราะจะได้รับผลประโยชน์เรื่องภาษีที่จ่ายน้อยลง จากต้นทุนในทางบัญชีที่สูงมาจากเราทยอยซื้อหุ้นในราคาที่สูงไปเรื่อย ๆ
3. Average Cost เป็นวิธีการคิดต้นทุนหุ้นแบบ “เฉลี่ยทั้งหมด”
เข้าใจแบบง่าย ๆ คือ ต้นทุนหุ้นจะคำนวณจากต้นทุนทั้งหมด หารด้วยจำนวนหุ้นที่เรามี
ตัวอย่างวิธีคิดต้นทุนแบบ Average Cost
วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 5 บาท จำนวน 100 หุ้น
วันที่ 15 มิถุนายน 2568 เราซื้อหุ้น A ราคา 10 บาท จำนวน 100 หุ้น
แล้ววันที่ 30 สิงหาคม 2568 ตัดสินใจขายหุ้น A ที่ราคา 12 บาท จำนวน 100 หุ้น
ต้นทุนทั้งหมด = (10 x 100) + (5 x 100) = 1,500 บาท
หรือคิดเป็น 1,500 / 200 = 7.5 บาทต่อหุ้น
ดังนั้นวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เราจะมีต้นทุนหุ้น = 7.5 x 100 = 750 บาท
และต่อให้เราจะขายหุ้นมากกว่าเดิม ต้นทุนต่อหุ้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป เพราะต้นทุนแบบ Average Cost เฉลี่ยเท่ากันทุกไม้แล้ว
ข้อดีของวิธีการนี้คือ คำนวณง่าย เราไม่ต้องมาไล่ว่า แต่ละไม้เราซื้อขายช่วงเวลาไหน เพราะหุ้นทุกลำดับมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นที่เท่ากัน
จากตัวอย่าง เห็นได้ว่า แม้จะซื้อขายหุ้นเหมือนกัน แต่คนหนึ่งอาจเสียภาษีน้อยกว่าได้ หากมีความรู้ในการบริหารจัดการด้านการเงิน อย่างเช่น การรู้วิธีการคำนวณต้นทุนซื้อขายหุ้นแบบ FIFO, LIFO และ Average Cost นั่นเอง..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon