ชฎาทิพ ผู้ทำให้ “สยาม” เป็นศูนย์กลางของ กรุงเทพฯ

ชฎาทิพ ผู้ทำให้ “สยาม” เป็นศูนย์กลางของ กรุงเทพฯ

ชฎาทิพ ผู้ทำให้ “สยาม” เป็นศูนย์กลางของ กรุงเทพฯ /โดย ลงทุนแมน
ถ้าจะเอาเรื่องราวของคนไทยสักคนหนึ่ง มาทำเป็นภาพยนตร์ โดยเนื้อหาในเรื่องอ้างอิงจากสิ่งที่ทำแล้ว Impact เปลี่ยนสังคม ชุมชน อาจไปถึงขั้นเปลี่ยนเมือง คนนั้นจะเป็นใคร
ลงทุนแมนคิดว่าน่าจะเป็นบุคคลนี้
ทำไมถนนพระราม 1 แยกปทุมวัน ถึงแยกอังรีดูนังต์ ที่มีความยาวเพียง 500 เมตร ถึงถูกเรียกว่า “สยาม”
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมถนน 500 เมตรนี้ ถึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของ กรุงเทพฯ ?
และ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนปลายสุดของถนน 500 เมตรนี้ เจ้าของโครงการคือใคร ? ทำไมถึงทำให้ย่านนี้เป็น Landmark ของประเทศไทยได้
ถ้าลงทุนแมนบอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ
แต่อาจเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วจากโชคชะตา และการคำนวณอย่างละเอียด
บุคคลที่สร้างโครงการขนาดยักษ์ที่กระทบต่อผู้คนเป็นล้านชีวิต
บุคคลผู้สร้างศูนย์การค้าที่เปลี่ยนทั้งเมืองไปอย่างสิ้นเชิง
เธอคือคนนั้น
ชฎาทิพ จูตระกูล
เรื่องราวของเธอจะสนุกแค่ไหน
ถ้าพร้อมแล้ว
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลองหลับตานึกภาพต่อไปนี้.. ย้อนกลับไปเมื่อ 65 ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวของไทยไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้ ในวันนั้นประเทศไทยไม่มีอะไรเลย ไม่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ไม่มีโรงแรมหรู
แต่แล้วมีจุดเริ่มต้นสำคัญจุดหนึ่งที่เปลี่ยนอนาคตของประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2503 มีการจัดตั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขึ้นเป็นครั้งแรก
ในสมัยนั้นชื่อว่าองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการคนแรกคือ พลเอก เฉลิมชัย จารุวัสตร์
และพลเอก เฉลิมชัย เป็นคุณพ่อของคุณชฎาทิพ จูตระกูล ที่เกิดในปีถัดมา พ.ศ. 2504
ในเวลานั้นสายการบินที่ดังมาก ๆ ของโลกก็คือ Pan Am โดยมีเส้นทางบินมาที่กรุงเทพฯ
และในเวลานั้น Pan Am เป็นเจ้าของ เชนโรงแรม 5 ดาว ชื่อ InterContinental
จึงมีความคิดที่จะอยากสร้างโรงแรมในไทย เพื่อรองรับทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว
สอดคล้องกับรัฐบาลไทยที่เห็นเรื่องนี้เป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ ต้องการสร้างภาพลักษณ์กรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการบิน
กระทรวงการคลังจึงร่วมมือกับ Pan Am และภาคเอกชนไทยอีก 200 ราย ร่วมจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อประกอบธุรกิจนี้
รู้ไหมว่า ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ก็ร่วมกันถือหุ้นบริษัทนี้ตั้งแต่ตอนนั้น มีไม่กี่บริษัทในไทยที่ธนาคารใหญ่ร่วมกันถือหุ้นแบบนี้
แต่คำถามสำคัญคือ แล้วจะสร้างโรงแรมที่ไหนดี ?
พลเอก เฉลิมชัย ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้บริหารบริษัทนี้ในตอนนั้นด้วย ได้เล็งเห็นที่ดินศักยภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของวังสระปทุมของสมเด็จย่า หรือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จย่าได้พูดกับพลเอก เฉลิมชัย ก่อนที่จะให้ที่ดินมาพัฒนาไว้ว่า
1. ให้ตั้งใจพัฒนาโครงการให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาประเทศ
2. ต้องดูแลรักษาพัฒนาต่อเนื่องอย่าให้เสื่อมถอย
3. ต้องคิดถึงชุมชนรอบข้าง ยกระดับชุมชนที่อยู่รายล้อมให้ได้
4. อยากให้โครงการแข่งขันได้ในเวทีโลก เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย
ในตอนนั้นโครงการจึงถูกวางแผนไว้ว่า จะเป็นการสร้าง Mixed-Use แห่งแรกในไทย โดยมีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า และตึกสำนักงาน
ซึ่งเฟสแรกก็คือโรงแรมระดับโลกอย่าง InterContinental
แล้วโรงแรมนี้จะให้ชื่อว่าอะไรดี ?
การตั้งชื่อโรงแรมในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นให้ที่ดินย่านนี้เริ่มถูกเรียกว่าสยาม
คำว่า “สยาม” มาจากความคิดริเริ่มของ พลเอก เฉลิมชัย ที่ตั้งใจบ่งบอกถึงรากเหง้าความเป็นไทย ถือเป็นการปั้นแบรนด์โดยใช้ความเป็นไทยใส่เข้าไปในครั้งแรก
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ สยามอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล โดยหลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ สยามพิวรรธน์ จนถึงปัจจุบัน
โครงการที่เป็นเฟสถัดมาจากโรงแรมก็คือ “สยามเซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มทำให้เห็นภาพว่าสยามเริ่มมีบทบาทในความเป็นผู้นำเรื่องการเป็นศูนย์การค้า สร้างเสร็จปี พ.ศ. 2516
รู้ไหมว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดทำการครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ. 2518 โดยมีสำนักงานแห่งแรกอยู่สยามเซ็นเตอร์เช่นกัน
ในตอนนั้นคุณชฎาทิพจบการศึกษาจากบัญชี จุฬาฯ เรียนต่อด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ทำงานให้ทิพยประกันภัยในช่วงแรกของการทำงาน แต่เจอปัญหาสุขภาพออกจากงานมา 1 ปี คุณพ่อเฉลิมชัยจึงให้มาลองทำงานในสยามเซ็นเตอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529
ตำแหน่งแรกคือพนักงานประชาสัมพันธ์ เพราะต้องการให้รู้จักทุกเรื่องในห้าง ในเวลานั้นทำให้คุณชฎาทิพเริ่มเห็นโลกที่ไม่ใช่ตัวเลขการประกันภัยแบบเดิม แต่เป็นชีวิตจริงของผู้คนในห้าง ผู้เช่าห้าง คนเดินห้าง
ถัดจากสยามเซ็นเตอร์ โครงการถัดมาก็คือ สยามดิสคัฟเวอรี่ และปีที่เปิดโครงการคือปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งครั้งใหญ่ของไทย และทำให้บริษัทฯ มีหนี้เป็นหลักพันล้านบาท
ในช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็นปีที่ย่ำแย่ของทำเลบริเวณนั้น เพราะนอกจากเศรษฐกิจไทยเจอวิกฤติทำให้คนเดินห้างน้อยลงแล้ว ยังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า BTS สายแรกซึ่งมีสถานีสยามด้วย
แต่คุณชฎาทิพที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสำคัญของบริษัทฯ กลับมองว่า วิกฤตินี้คือโอกาสการลงทุน
และการลงทุนในครั้งใหม่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ระดับหมื่นล้านบาทที่ไม่เคยมีมาก่อน
ต้องทุบโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลที่เป็นตำนานของบริษัท
ต้องหาพาร์ตเนอร์ในการสร้างโครงการใหญ่นี้ ซึ่งพาร์ตเนอร์นี้คือกลุ่มเดอะมอลล์ที่นำโดยคุณแอ๊ว ศุภลักษณ์ อัมพุช
และโครงการนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าสยามไปตลอดกาล
โดยโครงการนี้มีชื่อแรกว่า The Pride of Bangkok ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้เป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของกรุงเทพฯ
ต่อมาโครงการนี้ถูกเรียกว่า “สยามพารากอน”
ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่จะมีสยามพารากอน เมื่อพูดถึงย่านสยาม ก็ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นจุดศูนย์กลาง บางคนบอกว่าสยามเซ็นเตอร์ บางคนบอกว่าสยามสแควร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จนมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่มีซอยในสยามสแควร์ตั้งชื่อว่าเซ็นเตอร์พอยต์ ดูเหมือนว่าทุกคนอยากเป็นศูนย์กลางของย่านสยาม
แต่เมื่อสยามพารากอนสร้างเสร็จ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของสยามโดยไม่มีข้อแม้ และสามารถยกระดับไปถึงขั้นให้ สยามพารากอน เป็น Landmark ของกรุงเทพฯ คนต่างประเทศมาเที่ยว กทม. ต้องมาที่นี่ ที่นี่คืออันดับ 1 ที่เป็นศูนย์การค้า ศูนย์รวมความทันสมัยที่คนไทยจะอวดชาวโลกตั้งแต่นั้นมา
จริง ๆ แล้ว ตอนสยามพิวรรธน์สร้างสยามพารากอน มีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เกิดขึ้น ทำให้การก่อสร้างในประเทศไทยซบเซา โครงการขนาดใหญ่ของประเทศมีแค่ 2 โครงการ นั่นก็คือสนามบินสุวรรณภูมิ และสยามพารากอน ทำให้ตลาดรับเหมาก่อสร้างว่างงาน ค่าแรง ค่าก่อสร้างจึงไม่แพง
เรื่องที่น่าบังเอิญ ย้อนกลับไป 40 ปีที่แล้ว สยามพิวรรธน์ได้ที่ดินจากสมเด็จย่า เป็นช่วงเดียวกันกับที่รัฐบาลไทยได้เริ่มซื้อที่ดินย่านหนองงูเห่า 20,000 ไร่ และที่ดิน 2 ผืนนี้ก็ได้ถูกพัฒนาเป็นโครงการสำคัญของประเทศพร้อมกันในช่วงปี พ.ศ. 2545 และเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน โดยใช้เวลาสร้างไม่นาน
สยามพารากอน เป็นห้างขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างเร็วมาก เริ่มสร้างปี พ.ศ. 2545 เสร็จปี พ.ศ. 2548 ด้วยงบประมาณ 15,000 ล้านบาทในสมัยนั้น ได้พื้นที่ถึง 500,000 ตารางเมตร ซึ่งทำสถิติติดอันดับห้างที่ใหญ่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ในวันนั้นพลเอก เฉลิมชัยได้มาดูการเปิดห้างสยามพารากอนผลงานชิ้นโบแดงของลูกสาวหรือคุณชฎาทิพด้วยตนเอง
ทันทีที่ดูจบ พลเอก เฉลิมชัยได้พูดกับคุณชฎาทิพว่า
“เธอทำโครงการศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำเร็จแล้วนะ
แต่ถ้าจะทำโครงการต่อไปให้ไปหาที่ ใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เธอสามารถพัฒนาโครงการใหญ่ บนถนนเส้นไหนก็ได้
แต่ถ้าเป็นริมแม่น้ำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้..”
คำพูดนี้คุณชฎาทิพได้แต่เก็บไว้ในใจ
เพราะคิดว่าวันนั้นเป็นวันเปิดตัวห้างใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ได้นึกถึงโครงการถัดไป
แล้วถึงอยากสร้างจริง ๆ จะไปหาที่ดินริมแม่น้ำผืนใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองได้จากที่ไหน ?
หลังจากสยามพารากอนเสร็จ 4 ปี พ.ศ. 2552 พลเอก เฉลิมชัยผู้วางรากฐานด้านการท่องเที่ยวของไทย ได้ถึงแก่อสัญกรรม เกร็ดน่ารู้พลเอก เฉลิมชัยยังเป็นผู้สร้างศาลพระพรหมบริเวณแยกราชประสงค์ข้างโรงแรมเอราวัณอีกหนึ่ง Landmark ที่สำคัญของกรุงเทพฯ อีกด้วย
อีกหนึ่งเกร็ดน่ารู้ ในเวลานั้น เมื่อสยามพารากอนเปิด รัฐบาลสิงคโปร์ได้บินมาเห็นศักยภาพของโครงการนี้ แล้วรู้เลยว่าโครงการนี้ของไทยจะดึงดูดการท่องเที่ยวไปได้มาก สิงคโปร์จึงวางแผนโต้กลับ เกิดเป็น Marina Bay Sands ที่เป็น Complex ของศูนย์การค้า โรงแรม และกาสิโนในเวลาต่อมา
ต่อมาปี พ.ศ. 2555 สิ่งที่คุณพ่อได้พูดทิ้งเอาไว้ ก็กลายเป็นจริง คุณทิพพาภรณ์ ลูกสาวคุณธนินท์ ซีพี ได้ชักชวนคุณชฎาทิพ ว่าได้ที่ดินมาผืนหนึ่งริมแม่น้ำ แต่ที่ดินผืนใหญ่เกินไป อยากหาคนมาร่วมพัฒนาโครงการ
พอคุณชฎาทิพได้ทราบเรื่อง แทบจะตัดสินใจทันทีว่า นี่คือที่ดินที่เธอกำลังมองหา
ที่ดินติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่รายล้อมไปด้วยโรงแรมใหญ่
ที่ดินติดชุมชนที่จะช่วยพัฒนาคนที่อยู่รายล้อมโครงการไปด้วยกัน
ที่ดินที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาในเวทีโลกให้คนไทยทุกคนภูมิใจ
เหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
ไอคอนสยาม โครงการขนาดยักษ์มูลค่า 50,000 ล้านบาท ได้ถูกออกแบบและวางแผนก่อสร้างอย่างรวดเร็ว ด้วยประสบการณ์จากโครงการเดิมอย่างสยามพารากอน ที่คุณชฎาทิพสัญญาว่าจะรวบรวมสิ่งผิดทั้งหลายในอดีต มาตั้งใจพัฒนาโครงการนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด
ปี พ.ศ. 2561 ไอคอนสยาม สร้างเสร็จ นอกเหนือไปจากเป็นโครงการที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าสยามพารากอนแล้ว แต่เป็นโครงการที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยระดับสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จากสยามพารากอน คุณชฎาทิพทำให้สยามเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่ว่าเก่งมากแล้ว
แต่คราวนี้เก่งกว่าเดิม เพราะที่ ไอคอนสยาม คุณชฎาทิพทำให้ที่ดินฝั่งธนบุรีมีศักดิ์ศรีเท่ากับกรุงเทพฯ สามารถเก็บค่าเช่าได้ในอัตราเดียวกับสยามพารากอนที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และผู้เช่าที่ยอมจ่ายคือแบรนด์ระดับโลกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น Apple Store ที่เลือกเปิดตัวที่ไอคอนสยาม ที่แรกในประเทศไทย
รู้ไหมว่า Apple ที่ปกติอยากรักษาโลโกห้ามไม่ให้ใครมาดัดแปลง ในคราวนี้ Apple ยอมให้ปรับโลโกเป็นตัวอักษร อ อ่าง แม้แต่แบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศมาเข้าร่วม ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นไทย
ตั้งแต่วันแรกที่ไอคอนสยาม มี Luxury Brand ระดับโลกมากเท่าที่เราพอจะนึกออกเรียงแถวกันเข้ามาเปิดกันเต็มพื้นที่ตั้งแต่ Hermès, Chanel หรือแบรนด์ในเครือ LVMH นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้มองว่าไอคอนสยามเป็นศูนย์การค้า แต่เขามองว่าเป็น Landmark ของเมือง
ลองคิดดูว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าเปิดห้างขนาดมหึมาริมแม่น้ำฝั่งธนบุรี และจะมีสักกี่คนที่สามารถหาแบรนด์หรูทั่วโลกมาเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันแรก
ล่าสุด POP MART เลือกเปิดสาขาใหญ่ที่สุดในโลกที่ ไอคอนสยาม แห่งนี้ เพราะภาพที่ได้คือ POP MART ที่สาขานี้มีวิวข้างหลังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่หาไม่ได้อีกแล้วบนศูนย์การค้าแห่งอื่นในกรุงเทพฯ
ตัวเลขที่น่าตกใจคือ Luxury Brand ที่ขายได้ในสยามพารากอน และ ไอคอนสยาม รวมกันเพียง 2 ที่ คิดเป็นยอดขายประมาณ 75% ของยอดขาย Luxury Brand ทั่วประเทศไทยทั้งหมด แปลว่าคนที่มา 2 ห้างนี้มีกำลังซื้อระดับบนจริง ๆ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ โมเดลการทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์ที่แปลกแหวกแนวกว่าศูนย์การค้าทั่วไปที่เก็บค่าเช่า Fixed คงที่ แต่สยามพิวรรธน์ขอมีโมเดลการมีส่วนร่วม โดยการมี Revenue Sharing กับร้านค้า
ถ้าร้านค้าขายได้น้อย รายได้ของบริษัทฯ ก็จะน้อยตาม แต่ถ้าขายได้มาก รายได้ของบริษัทฯ ก็จะมากตามไปด้วย
การทำแบบนี้มีความเสี่ยงต่อบริษัทฯ ในการรับรายได้ที่ไม่แน่นอน
บริษัทฯ ที่เลือกโมเดลนี้ต้องกล้า และมั่นใจในโครงการของตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จ
แต่ข้อดีของการมีโมเดลแบบนี้จะบีบให้บริษัทฯ ต้องเต้นไม่เลิกในการทำการตลาดให้คนเข้าศูนย์การค้า เพราะเมื่อไรที่หยุดเต้นเท่ากับว่าโยนเงินทิ้ง
สิ่งที่น่าสนใจของ ไอคอนสยาม อีกเรื่องก็คือการกลยุทธ์ Loss Leader เพื่อชุมชน โดยให้ร้านค้าจากชุมชนทั่วประเทศมาวางขายสินค้าได้ในโซนสุขสยาม ซึ่งโซนนี้อยู่ถัดจากโซน Luxury Brand
ที่ไอคอนสยามเปิดโอกาสให้สินค้าและอาหารจาก 30,000 ครอบครัวจากชุมชนทั่วประเทศ ได้ถูกจัดเรียงอยู่ในทำเลตรงกลางชั้น 1 ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุด แต่กลับจ่ายค่าเช่าได้น้อยที่สุด
ไอคอนสยาม ยอมได้กำไรจากพื้นที่นี้น้อย แต่ยอมให้พื้นที่นี้แสดงความเป็นไทยที่หาจากศูนย์การค้าอื่นไม่ได้ รวมไปถึงได้ช่วยเหลือชุมชน ตามความตั้งใจของบริษัทฯ
พอโครงการเปิด ปีถัดมา พ.ศ. 2562 ไอคอนสยามได้รับรางวัลศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของโลกจาก MAPIC ทันที รางวัลนี้เป็นรางวัลที่ศูนย์การค้าทั้งโลกใฝ่ฝันว่าจะได้ ซึ่งชนะทั้ง Marina Bay Sands และ Dubai World
เคยรู้สึกไหม เมื่อก่อนเราคิดว่าศูนย์การค้าของต่างประเทศดูน่าเดินกว่าในไทย
แต่ตอนนี้เมื่อเราไปต่างประเทศกลับคิดว่า ศูนย์การค้าอย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม ยังดูดีและน่าเดินกว่า
เรื่องนี้อยู่ที่รายละเอียด การจัดวาง ทั้งระยะจากพื้นถึงเพดานที่ต้องสูงมากพอ วัสดุ การตกแต่ง ซึ่งต้องยอมแลกกับพื้นที่ที่ต้องเสียไป กับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่มากขึ้น แต่สิ่งที่ได้คืนมาคือประสบการณ์ที่ดีขึ้นในทุกมิติที่หาไม่ได้จากศูนย์การค้าอื่น
ในอนาคตอันใกล้นี้ สยามพิวรรธน์ยังมีเรื่องตื่นเต้นที่จะเปลี่ยนย่านสยามได้อีกครั้ง
เพราะพื้นที่เช่า 60% ของสยามพารากอน จะหมดสัญญา Leasehold ในอีก 5 ปี
ซึ่งสยามพารากอนโฉมใหม่ ก็น่าจะเป็นแบบที่เราคาดไม่ถึง
ทั้งหมดนี้ คือความเป็นชฎาทิพ ความเป็นสยามพิวรรธน์ ที่มาเต็มทั้งด้านความรักในงานที่ทำ ความศรัทธาในความเป็นไทย ความใส่ใจรายละเอียดทั้งภายใน ภายนอก คำนึงถึงคนที่ได้ประโยชน์ที่ไม่ใช่แค่ตัวเองหรือเรื่องเงิน แต่เป็นลูกค้า คู่ค้า ชุมชน คนรอบข้าง
จากในวันแรกที่คุณชฎาทิพได้สานต่อโครงการจากคุณพ่อ
และตั้งใจทำโครงการนั้นให้สมบูรณ์ ช่วยเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนประเทศไปอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวแบบนี้ น่าจะทำให้เราคิดว่า อย่างน้อยเมืองไทยก็ยังมีของดี มีความหวัง ที่เราจะเล่าให้ต่างชาติฟัง ได้อย่างภาคภูมิใจ..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon