
ชฎาทิพ ผู้ทำให้ “สยาม” เป็นศูนย์กลางของ กรุงเทพฯ
ชฎาทิพ ผู้ทำให้ “สยาม” เป็นศูนย์กลางของ กรุงเทพฯ /โดย ลงทุนแมน
ถ้าจะเอาเรื่องราวของคนไทยสักคนหนึ่ง มาทำเป็นภาพยนตร์ โดยเนื้อหาในเรื่องอ้างอิงจากสิ่งที่ทำแล้ว Impact เปลี่ยนสังคม ชุมชน อาจไปถึงขั้นเปลี่ยนเมือง คนนั้นจะเป็นใคร
ลงทุนแมนคิดว่าน่าจะเป็นบุคคลนี้
ถ้าจะเอาเรื่องราวของคนไทยสักคนหนึ่ง มาทำเป็นภาพยนตร์ โดยเนื้อหาในเรื่องอ้างอิงจากสิ่งที่ทำแล้ว Impact เปลี่ยนสังคม ชุมชน อาจไปถึงขั้นเปลี่ยนเมือง คนนั้นจะเป็นใคร
ลงทุนแมนคิดว่าน่าจะเป็นบุคคลนี้
ทำไมถนนพระราม 1 แยกปทุมวัน ถึงแยกอังรีดูนังต์ ที่มีความยาวเพียง 500 เมตร ถึงถูกเรียกว่า “สยาม”
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมถนน 500 เมตรนี้ ถึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของ กรุงเทพฯ ?
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมถนน 500 เมตรนี้ ถึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของ กรุงเทพฯ ?
และ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนปลายสุดของถนน 500 เมตรนี้ เจ้าของโครงการคือใคร ? ทำไมถึงทำให้ย่านนี้เป็น Landmark ของประเทศไทยได้
ถ้าลงทุนแมนบอกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ
แต่อาจเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วจากโชคชะตา และการคำนวณอย่างละเอียด
บุคคลที่สร้างโครงการขนาดยักษ์ที่กระทบต่อผู้คนเป็นล้านชีวิต
บุคคลผู้สร้างศูนย์การค้าที่เปลี่ยนทั้งเมืองไปอย่างสิ้นเชิง
เธอคือคนนั้น
ชฎาทิพ จูตระกูล
แต่อาจเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วจากโชคชะตา และการคำนวณอย่างละเอียด
บุคคลที่สร้างโครงการขนาดยักษ์ที่กระทบต่อผู้คนเป็นล้านชีวิต
บุคคลผู้สร้างศูนย์การค้าที่เปลี่ยนทั้งเมืองไปอย่างสิ้นเชิง
เธอคือคนนั้น
ชฎาทิพ จูตระกูล
เรื่องราวของเธอจะสนุกแค่ไหน
ถ้าพร้อมแล้ว
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าพร้อมแล้ว
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลองหลับตานึกภาพต่อไปนี้.. ย้อนกลับไปเมื่อ 65 ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวของไทยไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้ ในวันนั้นประเทศไทยไม่มีอะไรเลย ไม่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ไม่มีโรงแรมหรู
แต่แล้วมีจุดเริ่มต้นสำคัญจุดหนึ่งที่เปลี่ยนอนาคตของประเทศไทย
ปี พ.ศ. 2503 มีการจัดตั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขึ้นเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2503 มีการจัดตั้ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขึ้นเป็นครั้งแรก
ในสมัยนั้นชื่อว่าองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการคนแรกคือ พลเอก เฉลิมชัย จารุวัสตร์
และพลเอก เฉลิมชัย เป็นคุณพ่อของคุณชฎาทิพ จูตระกูล ที่เกิดในปีถัดมา พ.ศ. 2504
และพลเอก เฉลิมชัย เป็นคุณพ่อของคุณชฎาทิพ จูตระกูล ที่เกิดในปีถัดมา พ.ศ. 2504
ในเวลานั้นสายการบินที่ดังมาก ๆ ของโลกก็คือ Pan Am โดยมีเส้นทางบินมาที่กรุงเทพฯ
และในเวลานั้น Pan Am เป็นเจ้าของ เชนโรงแรม 5 ดาว ชื่อ InterContinental
จึงมีความคิดที่จะอยากสร้างโรงแรมในไทย เพื่อรองรับทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว
และในเวลานั้น Pan Am เป็นเจ้าของ เชนโรงแรม 5 ดาว ชื่อ InterContinental
จึงมีความคิดที่จะอยากสร้างโรงแรมในไทย เพื่อรองรับทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว
สอดคล้องกับรัฐบาลไทยที่เห็นเรื่องนี้เป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ ต้องการสร้างภาพลักษณ์กรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการบิน
กระทรวงการคลังจึงร่วมมือกับ Pan Am และภาคเอกชนไทยอีก 200 ราย ร่วมจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อประกอบธุรกิจนี้
รู้ไหมว่า ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ก็ร่วมกันถือหุ้นบริษัทนี้ตั้งแต่ตอนนั้น มีไม่กี่บริษัทในไทยที่ธนาคารใหญ่ร่วมกันถือหุ้นแบบนี้
แต่คำถามสำคัญคือ แล้วจะสร้างโรงแรมที่ไหนดี ?
พลเอก เฉลิมชัย ได้มีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้บริหารบริษัทนี้ในตอนนั้นด้วย ได้เล็งเห็นที่ดินศักยภาพที่เป็นส่วนหนึ่งของวังสระปทุมของสมเด็จย่า หรือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จย่าได้พูดกับพลเอก เฉลิมชัย ก่อนที่จะให้ที่ดินมาพัฒนาไว้ว่า
1. ให้ตั้งใจพัฒนาโครงการให้มีความสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาประเทศ
2. ต้องดูแลรักษาพัฒนาต่อเนื่องอย่าให้เสื่อมถอย
3. ต้องคิดถึงชุมชนรอบข้าง ยกระดับชุมชนที่อยู่รายล้อมให้ได้
4. อยากให้โครงการแข่งขันได้ในเวทีโลก เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย
ในตอนนั้นโครงการจึงถูกวางแผนไว้ว่า จะเป็นการสร้าง Mixed-Use แห่งแรกในไทย โดยมีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า และตึกสำนักงาน
ซึ่งเฟสแรกก็คือโรงแรมระดับโลกอย่าง InterContinental
แล้วโรงแรมนี้จะให้ชื่อว่าอะไรดี ?
การตั้งชื่อโรงแรมในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นให้ที่ดินย่านนี้เริ่มถูกเรียกว่าสยาม
คำว่า “สยาม” มาจากความคิดริเริ่มของ พลเอก เฉลิมชัย ที่ตั้งใจบ่งบอกถึงรากเหง้าความเป็นไทย ถือเป็นการปั้นแบรนด์โดยใช้ความเป็นไทยใส่เข้าไปในครั้งแรก
และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ สยามอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล โดยหลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ สยามพิวรรธน์ จนถึงปัจจุบัน
โครงการที่เป็นเฟสถัดมาจากโรงแรมก็คือ “สยามเซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มทำให้เห็นภาพว่าสยามเริ่มมีบทบาทในความเป็นผู้นำเรื่องการเป็นศูนย์การค้า สร้างเสร็จปี พ.ศ. 2516
รู้ไหมว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดทำการครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ. 2518 โดยมีสำนักงานแห่งแรกอยู่สยามเซ็นเตอร์เช่นกัน
ในตอนนั้นคุณชฎาทิพจบการศึกษาจากบัญชี จุฬาฯ เรียนต่อด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย ทำงานให้ทิพยประกันภัยในช่วงแรกของการทำงาน แต่เจอปัญหาสุขภาพออกจากงานมา 1 ปี คุณพ่อเฉลิมชัยจึงให้มาลองทำงานในสยามเซ็นเตอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529
ตำแหน่งแรกคือพนักงานประชาสัมพันธ์ เพราะต้องการให้รู้จักทุกเรื่องในห้าง ในเวลานั้นทำให้คุณชฎาทิพเริ่มเห็นโลกที่ไม่ใช่ตัวเลขการประกันภัยแบบเดิม แต่เป็นชีวิตจริงของผู้คนในห้าง ผู้เช่าห้าง คนเดินห้าง
ถัดจากสยามเซ็นเตอร์ โครงการถัดมาก็คือ สยามดิสคัฟเวอรี่ และปีที่เปิดโครงการคือปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งครั้งใหญ่ของไทย และทำให้บริษัทฯ มีหนี้เป็นหลักพันล้านบาท
ในช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็นปีที่ย่ำแย่ของทำเลบริเวณนั้น เพราะนอกจากเศรษฐกิจไทยเจอวิกฤติทำให้คนเดินห้างน้อยลงแล้ว ยังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า BTS สายแรกซึ่งมีสถานีสยามด้วย
แต่คุณชฎาทิพที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสำคัญของบริษัทฯ กลับมองว่า วิกฤตินี้คือโอกาสการลงทุน
และการลงทุนในครั้งใหม่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ระดับหมื่นล้านบาทที่ไม่เคยมีมาก่อน
ต้องทุบโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลที่เป็นตำนานของบริษัท
ต้องหาพาร์ตเนอร์ในการสร้างโครงการใหญ่นี้ ซึ่งพาร์ตเนอร์นี้คือกลุ่มเดอะมอลล์ที่นำโดยคุณแอ๊ว ศุภลักษณ์ อัมพุช
และการลงทุนในครั้งใหม่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ระดับหมื่นล้านบาทที่ไม่เคยมีมาก่อน
ต้องทุบโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลที่เป็นตำนานของบริษัท
ต้องหาพาร์ตเนอร์ในการสร้างโครงการใหญ่นี้ ซึ่งพาร์ตเนอร์นี้คือกลุ่มเดอะมอลล์ที่นำโดยคุณแอ๊ว ศุภลักษณ์ อัมพุช
และโครงการนี้จะเปลี่ยนโฉมหน้าสยามไปตลอดกาล
โดยโครงการนี้มีชื่อแรกว่า The Pride of Bangkok ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้เป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของกรุงเทพฯ
ต่อมาโครงการนี้ถูกเรียกว่า “สยามพารากอน”
โดยโครงการนี้มีชื่อแรกว่า The Pride of Bangkok ที่ตั้งใจตั้งชื่อให้เป็นตัวแทนความภาคภูมิใจของกรุงเทพฯ
ต่อมาโครงการนี้ถูกเรียกว่า “สยามพารากอน”
ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่จะมีสยามพารากอน เมื่อพูดถึงย่านสยาม ก็ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นจุดศูนย์กลาง บางคนบอกว่าสยามเซ็นเตอร์ บางคนบอกว่าสยามสแควร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จนมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่มีซอยในสยามสแควร์ตั้งชื่อว่าเซ็นเตอร์พอยต์ ดูเหมือนว่าทุกคนอยากเป็นศูนย์กลางของย่านสยาม
แต่เมื่อสยามพารากอนสร้างเสร็จ สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของสยามโดยไม่มีข้อแม้ และสามารถยกระดับไปถึงขั้นให้ สยามพารากอน เป็น Landmark ของกรุงเทพฯ คนต่างประเทศมาเที่ยว กทม. ต้องมาที่นี่ ที่นี่คืออันดับ 1 ที่เป็นศูนย์การค้า ศูนย์รวมความทันสมัยที่คนไทยจะอวดชาวโลกตั้งแต่นั้นมา
จริง ๆ แล้ว ตอนสยามพิวรรธน์สร้างสยามพารากอน มีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เกิดขึ้น ทำให้การก่อสร้างในประเทศไทยซบเซา โครงการขนาดใหญ่ของประเทศมีแค่ 2 โครงการ นั่นก็คือสนามบินสุวรรณภูมิ และสยามพารากอน ทำให้ตลาดรับเหมาก่อสร้างว่างงาน ค่าแรง ค่าก่อสร้างจึงไม่แพง
เรื่องที่น่าบังเอิญ ย้อนกลับไป 40 ปีที่แล้ว สยามพิวรรธน์ได้ที่ดินจากสมเด็จย่า เป็นช่วงเดียวกันกับที่รัฐบาลไทยได้เริ่มซื้อที่ดินย่านหนองงูเห่า 20,000 ไร่ และที่ดิน 2 ผืนนี้ก็ได้ถูกพัฒนาเป็นโครงการสำคัญของประเทศพร้อมกันในช่วงปี พ.ศ. 2545 และเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน โดยใช้เวลาสร้างไม่นาน
สยามพารากอน เป็นห้างขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างเร็วมาก เริ่มสร้างปี พ.ศ. 2545 เสร็จปี พ.ศ. 2548 ด้วยงบประมาณ 15,000 ล้านบาทในสมัยนั้น ได้พื้นที่ถึง 500,000 ตารางเมตร ซึ่งทำสถิติติดอันดับห้างที่ใหญ่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ในวันนั้นพลเอก เฉลิมชัยได้มาดูการเปิดห้างสยามพารากอนผลงานชิ้นโบแดงของลูกสาวหรือคุณชฎาทิพด้วยตนเอง
ทันทีที่ดูจบ พลเอก เฉลิมชัยได้พูดกับคุณชฎาทิพว่า
“เธอทำโครงการศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำเร็จแล้วนะ
แต่ถ้าจะทำโครงการต่อไปให้ไปหาที่ ใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เธอสามารถพัฒนาโครงการใหญ่ บนถนนเส้นไหนก็ได้
แต่ถ้าเป็นริมแม่น้ำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้..”
แต่ถ้าจะทำโครงการต่อไปให้ไปหาที่ ใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
เธอสามารถพัฒนาโครงการใหญ่ บนถนนเส้นไหนก็ได้
แต่ถ้าเป็นริมแม่น้ำ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้..”
คำพูดนี้คุณชฎาทิพได้แต่เก็บไว้ในใจ
เพราะคิดว่าวันนั้นเป็นวันเปิดตัวห้างใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ได้นึกถึงโครงการถัดไป
แล้วถึงอยากสร้างจริง ๆ จะไปหาที่ดินริมแม่น้ำผืนใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองได้จากที่ไหน ?
เพราะคิดว่าวันนั้นเป็นวันเปิดตัวห้างใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ยังไม่ได้นึกถึงโครงการถัดไป
แล้วถึงอยากสร้างจริง ๆ จะไปหาที่ดินริมแม่น้ำผืนใหญ่ที่อยู่ใจกลางเมืองได้จากที่ไหน ?
หลังจากสยามพารากอนเสร็จ 4 ปี พ.ศ. 2552 พลเอก เฉลิมชัยผู้วางรากฐานด้านการท่องเที่ยวของไทย ได้ถึงแก่อสัญกรรม เกร็ดน่ารู้พลเอก เฉลิมชัยยังเป็นผู้สร้างศาลพระพรหมบริเวณแยกราชประสงค์ข้างโรงแรมเอราวัณอีกหนึ่ง Landmark ที่สำคัญของกรุงเทพฯ อีกด้วย
อีกหนึ่งเกร็ดน่ารู้ ในเวลานั้น เมื่อสยามพารากอนเปิด รัฐบาลสิงคโปร์ได้บินมาเห็นศักยภาพของโครงการนี้ แล้วรู้เลยว่าโครงการนี้ของไทยจะดึงดูดการท่องเที่ยวไปได้มาก สิงคโปร์จึงวางแผนโต้กลับ เกิดเป็น Marina Bay Sands ที่เป็น Complex ของศูนย์การค้า โรงแรม และกาสิโนในเวลาต่อมา
ต่อมาปี พ.ศ. 2555 สิ่งที่คุณพ่อได้พูดทิ้งเอาไว้ ก็กลายเป็นจริง คุณทิพพาภรณ์ ลูกสาวคุณธนินท์ ซีพี ได้ชักชวนคุณชฎาทิพ ว่าได้ที่ดินมาผืนหนึ่งริมแม่น้ำ แต่ที่ดินผืนใหญ่เกินไป อยากหาคนมาร่วมพัฒนาโครงการ
พอคุณชฎาทิพได้ทราบเรื่อง แทบจะตัดสินใจทันทีว่า นี่คือที่ดินที่เธอกำลังมองหา
ที่ดินติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่รายล้อมไปด้วยโรงแรมใหญ่
ที่ดินติดชุมชนที่จะช่วยพัฒนาคนที่อยู่รายล้อมโครงการไปด้วยกัน
ที่ดินที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาในเวทีโลกให้คนไทยทุกคนภูมิใจ
ที่ดินติดชุมชนที่จะช่วยพัฒนาคนที่อยู่รายล้อมโครงการไปด้วยกัน
ที่ดินที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาในเวทีโลกให้คนไทยทุกคนภูมิใจ
เหมือนเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
ไอคอนสยาม โครงการขนาดยักษ์มูลค่า 50,000 ล้านบาท ได้ถูกออกแบบและวางแผนก่อสร้างอย่างรวดเร็ว ด้วยประสบการณ์จากโครงการเดิมอย่างสยามพารากอน ที่คุณชฎาทิพสัญญาว่าจะรวบรวมสิ่งผิดทั้งหลายในอดีต มาตั้งใจพัฒนาโครงการนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด
ไอคอนสยาม โครงการขนาดยักษ์มูลค่า 50,000 ล้านบาท ได้ถูกออกแบบและวางแผนก่อสร้างอย่างรวดเร็ว ด้วยประสบการณ์จากโครงการเดิมอย่างสยามพารากอน ที่คุณชฎาทิพสัญญาว่าจะรวบรวมสิ่งผิดทั้งหลายในอดีต มาตั้งใจพัฒนาโครงการนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุด
ปี พ.ศ. 2561 ไอคอนสยาม สร้างเสร็จ นอกเหนือไปจากเป็นโครงการที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าสยามพารากอนแล้ว แต่เป็นโครงการที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยระดับสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จากสยามพารากอน คุณชฎาทิพทำให้สยามเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่ว่าเก่งมากแล้ว
แต่คราวนี้เก่งกว่าเดิม เพราะที่ ไอคอนสยาม คุณชฎาทิพทำให้ที่ดินฝั่งธนบุรีมีศักดิ์ศรีเท่ากับกรุงเทพฯ สามารถเก็บค่าเช่าได้ในอัตราเดียวกับสยามพารากอนที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และผู้เช่าที่ยอมจ่ายคือแบรนด์ระดับโลกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น Apple Store ที่เลือกเปิดตัวที่ไอคอนสยาม ที่แรกในประเทศไทย
แต่คราวนี้เก่งกว่าเดิม เพราะที่ ไอคอนสยาม คุณชฎาทิพทำให้ที่ดินฝั่งธนบุรีมีศักดิ์ศรีเท่ากับกรุงเทพฯ สามารถเก็บค่าเช่าได้ในอัตราเดียวกับสยามพารากอนที่อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ และผู้เช่าที่ยอมจ่ายคือแบรนด์ระดับโลกทั้งหมด ตัวอย่างเช่น Apple Store ที่เลือกเปิดตัวที่ไอคอนสยาม ที่แรกในประเทศไทย
รู้ไหมว่า Apple ที่ปกติอยากรักษาโลโกห้ามไม่ให้ใครมาดัดแปลง ในคราวนี้ Apple ยอมให้ปรับโลโกเป็นตัวอักษร อ อ่าง แม้แต่แบรนด์ใหญ่จากต่างประเทศมาเข้าร่วม ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับความเป็นไทย
ตั้งแต่วันแรกที่ไอคอนสยาม มี Luxury Brand ระดับโลกมากเท่าที่เราพอจะนึกออกเรียงแถวกันเข้ามาเปิดกันเต็มพื้นที่ตั้งแต่ Hermès, Chanel หรือแบรนด์ในเครือ LVMH นั่นก็เพราะว่าเขาไม่ได้มองว่าไอคอนสยามเป็นศูนย์การค้า แต่เขามองว่าเป็น Landmark ของเมือง
ลองคิดดูว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าเปิดห้างขนาดมหึมาริมแม่น้ำฝั่งธนบุรี และจะมีสักกี่คนที่สามารถหาแบรนด์หรูทั่วโลกมาเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันแรก
ล่าสุด POP MART เลือกเปิดสาขาใหญ่ที่สุดในโลกที่ ไอคอนสยาม แห่งนี้ เพราะภาพที่ได้คือ POP MART ที่สาขานี้มีวิวข้างหลังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่หาไม่ได้อีกแล้วบนศูนย์การค้าแห่งอื่นในกรุงเทพฯ
ตัวเลขที่น่าตกใจคือ Luxury Brand ที่ขายได้ในสยามพารากอน และ ไอคอนสยาม รวมกันเพียง 2 ที่ คิดเป็นยอดขายประมาณ 75% ของยอดขาย Luxury Brand ทั่วประเทศไทยทั้งหมด แปลว่าคนที่มา 2 ห้างนี้มีกำลังซื้อระดับบนจริง ๆ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ โมเดลการทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์ที่แปลกแหวกแนวกว่าศูนย์การค้าทั่วไปที่เก็บค่าเช่า Fixed คงที่ แต่สยามพิวรรธน์ขอมีโมเดลการมีส่วนร่วม โดยการมี Revenue Sharing กับร้านค้า
ถ้าร้านค้าขายได้น้อย รายได้ของบริษัทฯ ก็จะน้อยตาม แต่ถ้าขายได้มาก รายได้ของบริษัทฯ ก็จะมากตามไปด้วย
การทำแบบนี้มีความเสี่ยงต่อบริษัทฯ ในการรับรายได้ที่ไม่แน่นอน
บริษัทฯ ที่เลือกโมเดลนี้ต้องกล้า และมั่นใจในโครงการของตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จ
บริษัทฯ ที่เลือกโมเดลนี้ต้องกล้า และมั่นใจในโครงการของตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จ
แต่ข้อดีของการมีโมเดลแบบนี้จะบีบให้บริษัทฯ ต้องเต้นไม่เลิกในการทำการตลาดให้คนเข้าศูนย์การค้า เพราะเมื่อไรที่หยุดเต้นเท่ากับว่าโยนเงินทิ้ง
สิ่งที่น่าสนใจของ ไอคอนสยาม อีกเรื่องก็คือการกลยุทธ์ Loss Leader เพื่อชุมชน โดยให้ร้านค้าจากชุมชนทั่วประเทศมาวางขายสินค้าได้ในโซนสุขสยาม ซึ่งโซนนี้อยู่ถัดจากโซน Luxury Brand
ที่ไอคอนสยามเปิดโอกาสให้สินค้าและอาหารจาก 30,000 ครอบครัวจากชุมชนทั่วประเทศ ได้ถูกจัดเรียงอยู่ในทำเลตรงกลางชั้น 1 ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุด แต่กลับจ่ายค่าเช่าได้น้อยที่สุด
ไอคอนสยาม ยอมได้กำไรจากพื้นที่นี้น้อย แต่ยอมให้พื้นที่นี้แสดงความเป็นไทยที่หาจากศูนย์การค้าอื่นไม่ได้ รวมไปถึงได้ช่วยเหลือชุมชน ตามความตั้งใจของบริษัทฯ
พอโครงการเปิด ปีถัดมา พ.ศ. 2562 ไอคอนสยามได้รับรางวัลศูนย์การค้าที่ดีที่สุดของโลกจาก MAPIC ทันที รางวัลนี้เป็นรางวัลที่ศูนย์การค้าทั้งโลกใฝ่ฝันว่าจะได้ ซึ่งชนะทั้ง Marina Bay Sands และ Dubai World
เคยรู้สึกไหม เมื่อก่อนเราคิดว่าศูนย์การค้าของต่างประเทศดูน่าเดินกว่าในไทย
แต่ตอนนี้เมื่อเราไปต่างประเทศกลับคิดว่า ศูนย์การค้าอย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม ยังดูดีและน่าเดินกว่า
แต่ตอนนี้เมื่อเราไปต่างประเทศกลับคิดว่า ศูนย์การค้าอย่าง สยามพารากอน ไอคอนสยาม ยังดูดีและน่าเดินกว่า
เรื่องนี้อยู่ที่รายละเอียด การจัดวาง ทั้งระยะจากพื้นถึงเพดานที่ต้องสูงมากพอ วัสดุ การตกแต่ง ซึ่งต้องยอมแลกกับพื้นที่ที่ต้องเสียไป กับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่มากขึ้น แต่สิ่งที่ได้คืนมาคือประสบการณ์ที่ดีขึ้นในทุกมิติที่หาไม่ได้จากศูนย์การค้าอื่น
ในอนาคตอันใกล้นี้ สยามพิวรรธน์ยังมีเรื่องตื่นเต้นที่จะเปลี่ยนย่านสยามได้อีกครั้ง
เพราะพื้นที่เช่า 60% ของสยามพารากอน จะหมดสัญญา Leasehold ในอีก 5 ปี
ซึ่งสยามพารากอนโฉมใหม่ ก็น่าจะเป็นแบบที่เราคาดไม่ถึง
เพราะพื้นที่เช่า 60% ของสยามพารากอน จะหมดสัญญา Leasehold ในอีก 5 ปี
ซึ่งสยามพารากอนโฉมใหม่ ก็น่าจะเป็นแบบที่เราคาดไม่ถึง
ทั้งหมดนี้ คือความเป็นชฎาทิพ ความเป็นสยามพิวรรธน์ ที่มาเต็มทั้งด้านความรักในงานที่ทำ ความศรัทธาในความเป็นไทย ความใส่ใจรายละเอียดทั้งภายใน ภายนอก คำนึงถึงคนที่ได้ประโยชน์ที่ไม่ใช่แค่ตัวเองหรือเรื่องเงิน แต่เป็นลูกค้า คู่ค้า ชุมชน คนรอบข้าง
จากในวันแรกที่คุณชฎาทิพได้สานต่อโครงการจากคุณพ่อ
และตั้งใจทำโครงการนั้นให้สมบูรณ์ ช่วยเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนประเทศไปอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวแบบนี้ น่าจะทำให้เราคิดว่า อย่างน้อยเมืองไทยก็ยังมีของดี มีความหวัง ที่เราจะเล่าให้ต่างชาติฟัง ได้อย่างภาคภูมิใจ..
และตั้งใจทำโครงการนั้นให้สมบูรณ์ ช่วยเปลี่ยนเมือง เปลี่ยนประเทศไปอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวแบบนี้ น่าจะทำให้เราคิดว่า อย่างน้อยเมืองไทยก็ยังมีของดี มีความหวัง ที่เราจะเล่าให้ต่างชาติฟัง ได้อย่างภาคภูมิใจ..