สรุปวิธีการบริหารเงิน สำหรับฟรีแลนซ์ ที่วิธีคิดไม่ต่างจากธุรกิจ SMEs

สรุปวิธีการบริหารเงิน สำหรับฟรีแลนซ์ ที่วิธีคิดไม่ต่างจากธุรกิจ SMEs

สรุปวิธีการบริหารเงิน สำหรับฟรีแลนซ์ ที่วิธีคิดไม่ต่างจากธุรกิจ SMEs /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ ? 20 ล้าน คือจำนวนคนไทยที่ทำงานในรูปแบบฟรีแลนซ์ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำงานในรูปแบบนี้มีความท้าทายด้านการเงินไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น
- รายได้ในแต่ละเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ยากต่อการวางแผนจัดการ
- ไม่มีบริษัทช่วยจัดการเรื่องการเงินต่าง ๆ ให้ ตั้งแต่ ภาษี ประกัน จนถึงการลงทุน
- ทุกชิ้นงานมีต้นทุน ที่ต้องบริหาร ต่างจากพนักงานประจำที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้
ซึ่งดู ๆ แล้วฟรีแลนซ์ ก็มีความคล้ายกับธุรกิจขนาดเล็ก ที่ต้องดูแลและบริหารทุกอย่างด้วยตัวเอง
เราสามารถนำวิธีคิดของธุรกิจขนาดเล็ก มาประยุกต์ใช้กับการบริหารเงินสำหรับฟรีแลนซ์ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าคิดแบบพนักงานประจำ เราจะสามารถนำเงินไปใช้ต่อได้ง่าย ๆ เลย เพราะมีบริษัทคอยช่วยเหลือทางการเงินให้อยู่แล้วไม่น้อย ตั้งแต่
- ภาษี ที่เงินเดือนจะถูกหักส่วนหนึ่งให้แล้ว
- ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ มีประกันกลุ่มของบริษัท
- การลงทุน ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ PVD ที่หักจากเงินเดือนทุกเดือนอัตโนมัติ พร้อมเงินสมทบจากบริษัทด้วย
ขณะที่ฟรีแลนซ์นั้นไม่มีใครมาจัดการเรื่องเงินให้ ไม่นับว่ารายได้ไม่แน่นอนอีก
ซึ่งถ้าฟรีแลนซ์อยากบริหารเงินเหมือนธุรกิจ วิธีคิดจะเปลี่ยนจาก “มีรายได้เท่าไรก็ใช้ไป” เป็น “มีรายได้ต้องจัดสรร”
โดยการบริหารเงินของฟรีแลนซ์ สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการมีบัญชีหลายประเภท เหมือนกับการแบ่งฝ่ายการทำงานหลายกลุ่ม จะได้ง่ายต่อการบริหาร ได้แก่
1. บัญชีรายได้ สำหรับรับเงินจากลูกค้าเพียงอย่างเดียว และให้บัญชีนี้เป็นตัวตั้งต้น
2. บัญชีสำรองภาษี ที่หักเงินจากรายได้ที่เข้ามาทันที 10-20% เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการจ่ายภาษีทั้งปี เพราะถ้าไม่เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจจะไปเบียดเงินส่วนอื่น เช่น บัญชีส่วนตัว หรือบัญชีลงทุนก็ตาม และส่งผลให้วินัยทางการเงินไม่ดีด้วย
3. บัญชีส่วนตัว หรือบัญชีใช้จ่าย แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และ ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าที่พัก, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร และค่าไฟฟ้า แบ่งเงินให้พอสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก่อน โดยถ้าเราไม่รู้ว่าควรเก็บส่วนนี้เท่าไรดี ให้ลองบันทึกข้อมูลไปก่อน 1 เดือน เราก็จะได้ตัวเลขที่ควรเก็บจริง ๆ
ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าความบันเทิงต่าง ๆ เราสามารถใช้จ่ายส่วนนี้ได้เต็มที่ หากผ่านการหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และมีเงินลงทุนไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีสำหรับสร้างวินัยทางการเงินคือ ควรกำหนดเงินเดือนให้ตัวเองอย่างชัดเจนเลย เพราะหากเดือนไหนเรามีงานเยอะ รายได้สูง จะได้เก็บเงินลงทุนมากขึ้น
ดีกว่าตั้งต้นด้วยการกำหนดตัวเลขเงินออม
ที่จะทำให้เราเผลอใช้เงินที่เหลืออย่างสุรุ่ยสุร่าย ไร้ขอบเขต
ทั้งนี้เงินเดือนที่กำหนด จะต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และมีไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อชีวิตจะได้ไม่เครียดเกินไป
4. บัญชีออมและลงทุน
เริ่มต้นด้วยการออมเพื่อเก็บเงินสำรองฉุกเฉินก่อน เพราะยิ่งเป็นฟรีแลนซ์ที่มีความท้าทายเรื่องการเงิน ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับสภาพคล่อง
โดยเงินสำรองฉุกเฉินที่ควรมีคือ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
และเพื่อให้เงินไม่ถูกเงินเฟ้อกินไปง่าย ๆ เราสามารถฝากหรือลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน แต่ยังมีสภาพคล่องสูง เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัลที่ให้ดอกเบี้ยสูง หรือกองทุนรวมตลาดเงิน
อีกหนึ่งกันชนที่ฟรีแลนซ์ควรมีคือ ประกันสุขภาพ เพราะจะได้จำกัดค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ ที่นับวันเป็นค่าใช้จ่ายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และอาจเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเจ็บป่วย
และเมื่อเราเตรียมพร้อมการออมไว้ทั้ง 2 อย่างแล้ว ต่อไปก็ถึงเวลาลงทุน
เงินเก็บเพื่อการลงทุนต่อเดือน ควรมากกว่าหรือเท่ากับ 10% ของรายได้ต่อเดือน
ซึ่งหากยังติดข้อจำกัด ไม่สามารถทำได้ เช่น รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย หรือมีหนี้สินที่ต้องสะสาง ก็ให้ข้ามในส่วนของการลงทุนไปก่อนได้ แล้วค่อยรอจังหวะและเริ่มลงทุนตอนที่สถานการณ์การเงินเริ่มไม่ตึงมือแล้ว
สรุปลำดับการใช้งานคือ รายได้เข้า → กันภาษี → กันค่าใช้จ่ายที่จำเป็น → ลงทุน → ใช้จ่ายเต็มที่
แต่แค่มีบัญชีหลายประเภทยังไม่เพียงพอ อย่างที่เกริ่นช่วงแรกว่า ทุกชิ้นงานมีต้นทุน
ดังนั้นเราต้องไม่ลืมจด “รายรับ-รายจ่าย” ด้วย จะได้ประเมินว่า จริง ๆ แล้ว งานที่เราทำนั้นมีกำไรเท่าไร ไม่ใช่แค่ได้เงินมาแล้วคิดว่ากำไรทั้งหมด ซึ่งการทำจุดนี้ก็ไม่ต่างจากงบกำไรขาดทุนของบริษัท
เช่น รับถ่ายรูปงานรับปริญญา ต้องไม่ลืมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อย่างค่าเดินทาง, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร, ค่าอุปกรณ์, ค่าซอฟต์แวร์ตัดต่อรูป ไปจนถึงค่าโปรโมตผลงาน
ทุกอย่างต้องนำมาคำนวณเป็นต้นทุนทั้งหมด เพราะนอกจากจะรู้กำไรแล้ว เรายังสามารถใช้คาดการณ์ได้ว่า แต่ละเดือนควรมีงานกี่ชิ้น ถึงจะสามารถอยู่รอดได้นั่นเอง
พอทำงานถึงจุดที่มีเงินเหลือออมแล้ว ก็ต้องลงทุน
โดยวิธีการลงทุนที่ง่ายและค่อนข้างเหมาะกับฟรีแลนซ์คือ DCA หรือการลงทุนในสินทรัพย์เดิม ด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือนไปเรื่อย ๆ
เช่น ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี S&P 500 ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยไม่สนใจราคา
ที่ DCA มีความน่าสนใจกับคนที่ทำงานรูปแบบนี้ เพราะว่าเป็นการลงทุนที่ทำตามได้ง่าย ไม่ต้องจับจังหวะตลาด เพียงแค่เลือกสินทรัพย์ที่สนใจ และคิดว่ามันสามารถเติบโตต่อไปในระยะยาว ก็ลงทุนได้เลย จะได้เอาเวลาไปโฟกัสกับการทำงานหลักที่เราเชี่ยวชาญดีกว่า
ซึ่งเราจะลงทุนสินทรัพย์ไหน อะไรบ้าง และมีสัดส่วนเท่าไร ให้พิจารณาจากความรู้ที่ตัวเองมี
และความสามารถในการรับความเสี่ยง เช่น
- สินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
- สินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงปานกลาง เช่น หุ้นกู้ และหุ้นปันผลของบริษัทที่มั่นคง
- สินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นเติบโต และทองคำ
ถ้าเราสนใจในสินทรัพย์ที่มีระดับความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นเติบโต แต่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ก็สามารถบริหารความเสี่ยงได้ด้วยการกระจายการลงทุน
เช่น แทนที่พอร์ตการลงทุนจะมีหุ้นเติบโต 100% ก็เปลี่ยนเป็นมีหุ้นเติบโต 30% ที่เหลือลงทุนในหุ้นปันผลและพันธบัตร
กลับมาที่วิธี DCA นอกจากจะเหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่เติบโตต่อเนื่องในอนาคตแล้ว ยังเหมาะกับกองทุนลดหย่อนภาษี ที่มีเงื่อนไขให้ถือยาวและทยอยลงทุนทุก ๆ ปี
ดังนั้นหากสินทรัพย์ไหนที่มีกองทุนลดหย่อนภาษีลงทุนอยู่แล้ว ก็ควรนำมาคิดเปรียบเทียบกันด้วย
เพราะนอกจากกองทุนลดหย่อนภาษีจะได้ผลตอบแทนตามสินทรัพย์นั้น ๆ แล้ว เราจะยังนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย เช่น RMF ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 500,000 บาท
และนี่คือวิธีการบริหารเงินสำหรับฟรีแลนซ์ ที่เห็นได้ว่า แม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แต่หากเรามีความรู้ด้านการเงินและธุรกิจ ก็สามารถมีชีวิตการเงินที่ดีได้เช่นกัน..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon