
เจ้าของธุรกิจมือใหม่ต้องรู้! ทำไม SMEs ถึงต้องรู้เรื่องประกันสังคมให้ลึก
ฮิวแมนซอฟท์ x ลงทุนแมน
สำหรับเจ้าของกิจการมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มธุรกิจ แม้เป็นเพียงธุกิจขนาดเล็ก แต่เมื่อคุณมีพนักงานหรือลูกจ้าง ก็ต้องเริ่มคิดถึงเรื่องเอกสารและกฎหมายแรงงาน หนึ่งในเรื่องที่มักทำให้เจ้าของธุรกิจสับสนคือ “ประกันสังคม” คืออะไร? ต้องเริ่มส่งเมื่อไหร่? ต้องส่งเท่าไหร่? ถ้าไม่ส่งจะมีผลยังไง? หลายคนอาจมองว่ามันเป็นแค่ภาระรายเดือนของนายจ้าง แต่ในความจริงแล้วประกันสังคมคือระบบที่ช่วยคุ้มครองทั้งพนักงานและธุรกิจของคุณ และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมเจ้าของกิจการ SMEs ถึงควรรู้เรื่อง “ประกันสังคม” ให้ลึกกว่าที่คิด
ประกันสังคมคืออะไร? – ประกันสังคมคือระบบที่รัฐฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” ร่วมกันส่งเงินสมทบเข้าสู่กองทุนกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างในกรณีต่าง ๆ เช่น เจ็บป่วย ว่างงาน คลอดบุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ หรือเสียชีวิต พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับพนักงาน ธุรกิจของคุณจะไม่ต้องรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง เพราะรัฐเข้ามาช่วยดูแลผ่านกองทุนนี้
เรื่องประกันสังคมที่ SMEs ต้องรู้! เจ้าของธุรกิจต้องทำอะไรบ้าง?
ประกันสังคมคืออะไร? – ประกันสังคมคือระบบที่รัฐฯ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ “นายจ้าง” และ “ลูกจ้าง” ร่วมกันส่งเงินสมทบเข้าสู่กองทุนกลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองลูกจ้างในกรณีต่าง ๆ เช่น เจ็บป่วย ว่างงาน คลอดบุตร ทุพพลภาพ ชราภาพ หรือเสียชีวิต พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับพนักงาน ธุรกิจของคุณจะไม่ต้องรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง เพราะรัฐเข้ามาช่วยดูแลผ่านกองทุนนี้
เรื่องประกันสังคมที่ SMEs ต้องรู้! เจ้าของธุรกิจต้องทำอะไรบ้าง?
1. การแจ้งขึ้นทะเบียนประกันสังคม
หากคุณมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนหรือแจ้งเข้าประกันสังคมภายใน 30 วัน หลังจากที่รับลูกจ้างเข้าทำงาน โดยต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง (แบบ สปส. 1-01) และขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 (แบบ สปส. 1-03) หากไม่แจ้งภายในกำหนด จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ยกเว้นบางกรณีที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียน เช่น
• ข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของหน่วยงานรัฐ
• ลูกจ้างของสภากาชาดไทย หรือรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
• ลูกจ้างของกิจการเกษตร ประมง ป่าไม้ ที่ไม่ได้จ้างประจำตลอดปี
• ลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดา (เช่น แม่บ้าน คนขับรถส่วนตัว)
• ลูกจ้างของกิจการหาบเร่ แผงลอย
• ลูกจ้างของสภากาชาดไทย หรือรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
• ลูกจ้างของกิจการเกษตร ประมง ป่าไม้ ที่ไม่ได้จ้างประจำตลอดปี
• ลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดา (เช่น แม่บ้าน คนขับรถส่วนตัว)
• ลูกจ้างของกิจการหาบเร่ แผงลอย
2. การแจ้งออกจากประกันสังคม
เมื่อลูกจ้างลาออกหรือถูกเลิกจ้าง นายจ้างต้องแจ้ง “สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน” หรือแจ้งออกประกันสังคม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่ออกจากงาน หากแจ้งล่าช้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ที่สำคัญการแจ้งล่าช้าอาจทำให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์กรณี “ว่างงาน” ล่าช้า หรืออาจไม่ได้รับเลย
3. ระยะเวลาและวิธีนำส่งเงินสมทบ
3. ระยะเวลาและวิธีนำส่งเงินสมทบ
หลังขึ้นทะเบียนแล้ว นายจ้างมีหน้าที่หักเงินสมทบจากค่าจ้างของลูกจ้าง (5%) และสมทบในส่วนของนายจ้างอีก 5% โดยแต่ละส่วนไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน ทั้งนี้อาจมีการปรับเพดานขึ้นในอนาคต กำหนดส่งภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่น เงินเดือนเดือนตุลาคม ต้องนำส่งภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน
4. กรณีที่ลูกจ้างมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้อมูล
4. กรณีที่ลูกจ้างมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดข้อมูล
หากลูกจ้างมีการเปลี่ยนชื่อ–สกุล สถานพยาบาล หรือจำนวนบุตร ให้นายจ้างแจ้งการเปลี่ยนแปลงโดยใช้แบบ สปส. 6-10 ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เพื่อให้ข้อมูลในระบบประกันสังคมเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
5. นายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบให้ลูกจ้างได้หรือไหม
5. นายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบให้ลูกจ้างได้หรือไหม
ตามกฎหมาย นายจ้างไม่มีสิทธิยกเว้น หรือเลี่ยงการนำส่งเงินสมทบให้ลูกจ้าง หากไม่ส่ง หรือส่งไม่ครบ หรือส่งล่าช้า จะถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ หากจ่ายล่าช้ายังต้องจ่ายดอกเบี้ย 2% ต่อเดือนของยอดเงินสมทบที่ค้างอีกด้วย
กล่าวโดยสรุป แม้ประกันสังคมจะดูเป็นเรื่องเอกสารและภาระทางบัญชีที่เจ้าของกิจการหลายคนอยากหลีกเลี่ยง แต่ในความเป็นจริง นี่คือ “ระบบความคุ้มครอง” ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณมั่นคงขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อพนักงานมีสวัสดิการที่มั่นใจ เขาย่อมมีแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้นายจ้างลดความเสี่ยงด้านกฎหมายหากทำถูกต้องตั้งแต่ต้น
กล่าวโดยสรุป แม้ประกันสังคมจะดูเป็นเรื่องเอกสารและภาระทางบัญชีที่เจ้าของกิจการหลายคนอยากหลีกเลี่ยง แต่ในความเป็นจริง นี่คือ “ระบบความคุ้มครอง” ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณมั่นคงขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อพนักงานมีสวัสดิการที่มั่นใจ เขาย่อมมีแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กรมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้นายจ้างลดความเสี่ยงด้านกฎหมายหากทำถูกต้องตั้งแต่ต้น