ทำไม นมไทย ล้นตลาด แม้ส่งออกทุกปี หลักหมื่นล้าน ?

ทำไม นมไทย ล้นตลาด แม้ส่งออกทุกปี หลักหมื่นล้าน ?

ทำไม นมไทย ล้นตลาด แม้ส่งออกทุกปี หลักหมื่นล้าน ? /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า 3 ปีที่ผ่านมา ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมหลักหมื่นล้านบาทมาตลอด
- ปี 2565 มูลค่าส่งออก 10,397 ล้านบาท
- ปี 2566 มูลค่าส่งออก 11,033 ล้านบาท
- ปี 2567 มูลค่าส่งออก 13,603 ล้านบาท
ตัวเลขส่งออกก็ดูโตต่อเนื่องทุกปี แต่ปีนี้ ไทยกลับเจอปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาด ที่ฟังดูแล้วเรียกได้ว่า ย้อนแย้งกันมากเลยทีเดียว
แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ปกติแล้ว น้ำนมดิบที่เกษตรกรไทยผลิตออกมาได้ จะถูกส่งขายไปแปรรูปต่อใน 2 ตลาดด้วยกัน นั่นคือ ตลาดนมโรงเรียน และตลาดนมพาณิชย์
เพราะน้ำนมดิบยังดื่มไม่ได้ ต้องไปผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อเสียก่อน ซึ่งระบบนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูง ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่จึงเน้นการส่งน้ำนมดิบไปแปรรูปต่อแทน
ซึ่งถ้ายังจำตอนสมัยเด็กกันได้ นมโรงเรียนจะถูกแจกให้กับเราเป็นลัง ๆ เพื่อให้เราเอาไปดื่มต่อที่บ้าน
พอเป็นแบบนี้ ทำให้ตลาดนมโรงเรียนมีความพิเศษกับเกษตรกรมาก เพราะเป็นตลาดที่มีความต้องการแน่นอนว่า จะซื้อน้ำนมดิบต้นทางในปริมาณเท่าไรบ้าง
อีกทั้งรัฐบาล ยังให้สิทธิ์กับสหกรณ์เกษตรโคนม ในการผลิตนมโรงเรียนก่อนบริษัทเอกชน ทำให้เกษตรกรโคนมได้ประโยชน์จากตรงนี้ไปด้วย
ต่างจากนมพาณิชย์ ที่กำลังการผลิตจะไม่แน่นอนกว่า
ขึ้นอยู่กับยอดขายและปริมาณการบริโภคของคนในประเทศในแต่ละปี
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกษตรกรลดความเสี่ยงตรงนี้มากขึ้น รัฐบาลจึงมีการกำหนดราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบ เหมือนประกันราคาขั้นต่ำว่าเกษตรกรจะขายได้ราคาเท่าไร
โดยราคาตรงนี้ ก็ได้มาจากต้นทุนการทำฟาร์มโคนม
จริง ๆ ในแต่ละช่วง เพื่อให้ราคาที่เกษตรกรขายได้ มีความสมเหตุสมผลมากขึ้น
ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบหน้าโรงงานแปรรูปอยู่ที่ราว 21-22 บาทต่อกิโลกรัม โดยปรับขึ้นจากราคา 19 บาท ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นก่อนหน้านี้
แต่ในปีนี้ เป็นปีแรกที่ประเทศไทยยกเลิกภาษีนำเข้านม และผลิตภัณฑ์นม จากออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์
แปลว่า นมจาก 2 ประเทศนี้ จะเข้ามาด้วยภาษี 0 บาทได้เลยทันที
แต่ปัญหาคือ เรารู้กันดีว่า 2 ประเทศนี้เด่นเรื่องนมและผลิตภัณฑ์นมมาก เพราะด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสม แถมยังมีการเลี้ยงโคนมมาอย่างยาวนาน
ซึ่งเมื่อผลิตได้จำนวนมาก ต้นทุนการผลิตนมของประเทศเหล่านี้ก็ต่ำไปด้วย โดยต้นทุนการผลิตนม 1 กิโลกรัมของนิวซีแลนด์อยู่ที่ราว 11-12 บาทเท่านั้น
ถ้ายังจำกันได้ ราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบในไทยอยู่ที่ราว 21-22 บาท สาเหตุที่ราคากลางรับซื้อน้ำนมดิบของไทยสูงขนาดนี้
ก็เพราะว่าเกษตรกรไทย มีต้นทุนการผลิตนมเฉลี่ย 17 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
เมื่อราคานำเข้านมจากนิวซีแลนด์ถูกมากขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมผู้ผลิตในตลาดนมพาณิชย์ ถึงหันไปนำเข้านมจากประเทศเหล่านี้เข้ามาผลิตแทน
ดังนั้น เมื่อเกษตรกรไทยเจอความท้าทายในตลาดนมพาณิชย์มากขึ้น ตลาดนมโรงเรียนจึงกลายเป็นความหวังหลักที่แน่นอนอยู่แล้วแทน
แต่ปัญหาคือ เรารู้ดีว่าไทยมีอัตราการเกิดที่ต่ำ ทำให้เด็กในโรงเรียนลดลงต่อเนื่อง
จากเดิมที่มีจำนวนนักเรียนในโครงการนี้ 7,036,845 คนในปี 2563
แต่ในปี 2567 กลับลดลงเหลือแค่ 6,525,110 คนเท่านั้น
ซึ่งแปลว่า จำนวนความต้องการน้ำนมดิบ เพื่อไปแปรรูปเป็นนมโรงเรียนก็น้อยลงตามไปด้วย
พอเป็นแบบนี้ ความหวังถัดมาของเกษตรกรโคนม
ที่จะเข้ามาแก้ปัญหานมล้นตลาด จึงตกมาอยู่ที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค. แทน
อ.ส.ค. เป็นรัฐวิสาหกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เป็นเจ้าของยี่ห้อนมที่เรารู้จักกันดีอย่างไทย-เดนมาร์ค หนึ่งในผู้รับซื้อน้ำนมดิบรายสำคัญของเกษตรกร
แต่ถ้าเราไปดูผลประกอบการย้อนหลังของ อ.ส.ค. จะพบว่า
ปี 2565
- รายได้ 8,792 ล้านบาท
- กำไร 5 ล้านบาท
ปี 2566
- รายได้ 6,998 ล้านบาท
- ขาดทุน 266 ล้านบาท
ปี 2567
- รายได้ 6,200 ล้านบาท
- ขาดทุน 409 ล้านบาท
เห็นได้ว่า อ.ส.ค. เริ่มขาดทุนมากขึ้นในทุกปี ซึ่งเหตุผลหลักมาจากยอดขายนมที่ลดลง สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นก่อนหน้านี้
แต่ อ.ส.ค. ก็ยังเป็นช่องทางสำคัญในการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกร ทำให้รัฐบาลต้องอนุมัติเงินกู้ 200 ล้านบาท เพื่อให้ อ.ส.ค. เอาเงินไปรับซื้อน้ำนมดิบที่ล้นตลาดตอนนี้แทน
ถึงตรงนี้ เราคงเข้าใจภาพปัญหาคร่าว ๆ แล้วว่า ทำไมนมไทยถึงล้นตลาด ทั้ง ๆ ที่เราส่งออกนมและผลิตภัณฑ์นมในช่วงที่ผ่านมาหลักหมื่นล้านบาท
ซึ่งปัญหานี้ ก็ไม่ใช่ว่าเกษตรกรโคนมทุกรายจะได้รับ
ผลกระทบที่เท่ากัน เพราะเกษตรกรที่เจ็บตัวหนักสุด
คือ เกษตรกรรายย่อยกว่า 5,800 ราย
สำหรับเกษตรกรรายย่อย ถ้าทุก ๆ ต้นทุน 100 บาท เฉลี่ยจะขายได้ราคาแค่ 100.3 บาทเท่านั้น แปลว่า แทบจะไม่ได้กำไรจากการทำฟาร์มโคนมแม้แต่น้อย
ต่างจากเกษตรกรรายกลางและรายใหญ่ ที่ทุก ๆ ต้นทุน 100 บาท จะขายได้ราว 113-125 บาท ซึ่งก็ถือว่าดีกว่าเกษตรกรรายย่อยมากพอสมควร
เรื่องนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า แล้วปัญหานมล้นตลาดจะถูกแก้ไขอย่างไร ในวันที่นมโคนอกจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทะลักเข้ามาด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก
จะต้องลดต้นทุนอย่างไรให้แข่งขันได้ และเกษตรกรไทย มีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ นอกจากพึ่งพาเพียงแค่โครงการนมโรงเรียน
และไม่ใช่แค่นมโคนอก ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับนมโคไทยเท่านั้น แต่ยังมีคู่แข่งจากนมทางเลือกอื่น ๆ เช่น
นมอัลมอนด์ หรือนมโอ๊ตอีกมากมาย
เรียกได้ว่า นอกจากนมไทยจะล้นตลาดแล้ว เงยหน้าขึ้นมา
อีกที นมไทยก็อาจอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดสีขาว
ไปแล้วตอนนี้..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon