ทำไม ประเทศไทย จำเป็นต้องใช้ระบบภาษี Negative Income Tax ?

ทำไม ประเทศไทย จำเป็นต้องใช้ระบบภาษี Negative Income Tax ?

“การปฏิรูป ระบบที่ดูแลเรื่องนโยบายและการกำกับดูแล คือการปฏิรูประบบราชการ ให้ทันสมัย
เอกชนบ้านเรา พูดจริง ๆ เก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเขา เขาเอาตัวรอดได้ ถ้ารัฐกำกับดูแลดี รัฐมีเพียงออกนโยบายสนับสนุนเขา ทำให้เอกชนทำงานได้รวดเร็ว ก็เพิ่มขีดความสามารถให้เขาแล้ว” คุณพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พูดในรายการ Talk ลงทุนแมน ตอนล่าสุด
เพื่อเน้นย้ำว่า การปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย และมีบทบาทที่ชัดเจนในการสนับสนุนเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทย ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ซึ่งระบบภาษี Negative Income Tax ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญ ที่จะขับเคลื่อนประเทศ
ทำไม ประเทศไทย จำเป็นต้องใช้ระบบภาษี Negative Income Tax ?
ระบบนี้จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ได้อย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
ประเทศไทย มีประชากร 67 ล้านคน แต่มีผู้ที่เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 6% ของประชากรทั้งหมด
โดยมีผู้ที่ยื่นแบบภาษีอยู่ในระบบประมาณ 10 ล้านคน แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 4 ล้านคนที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ส่วนอีก 6 ล้านคน มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ หรือได้รับการลดหย่อนตามมาตรการจูงใจต่าง ๆ ของรัฐ
รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชากร 67 ล้านคน แต่รู้จักสถานะของคนเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น
คนที่ไม่ยื่นภาษีส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย และรัฐบาลต้องการรู้สถานะ เพื่อช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้น จึงควรนำระบบ Negative Income Tax (NIT) มาใช้
ซึ่งประเทศไทยเตรียมนำมาใช้ในปี พ.ศ. 2570
NIT คือระบบที่ผู้มีรายได้สูงตามเกณฑ์ จะเสียภาษี
แต่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน
เป้าหมายหลักของการนำระบบ NIT มาใช้ เพื่อให้รัฐบาลรู้ว่าใครมีรายได้น้อย และรู้สถานะที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อแยกแยะระหว่างผู้มีรายได้น้อยที่ทำงาน และผู้ที่ไม่ทำงาน โดยจะเน้นช่วยเหลือผู้ที่ทำงาน
และเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงาน รัฐจะช่วยเหลือในอัตราที่ยิ่งทำงาน รายได้ยิ่งเพิ่ม รัฐก็จะช่วยเพิ่มขึ้นในระยะแรก เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยพ้นจากจุดความยากจน
เช่น หากมีรายได้ 20,000 บาทต่อปี รัฐจะช่วยเงินจำนวนหนึ่ง และหากทำงานเพิ่มเป็น 30,000 บาทต่อปี รัฐก็จะช่วยมากขึ้น การช่วยนี้จะดำเนินไปจนถึงจุดที่พ้นจากรายได้น้อยจริง ๆ เช่น 60,000 บาทต่อปี
แล้วอัตราการช่วย จะคงที่หรือลดลง จนหยุดเมื่อรายได้ถึงระดับหนึ่ง เช่น 180,000 บาทต่อปี
เรื่องนี้ ช่วยให้รัฐ มีข้อมูลของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ชัดเจนขึ้น
กระตุ้นให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น เพราะจะได้รับประโยชน์จากการยื่นแบบ
รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาส ให้กับทุกคนในประเทศ
นอกจากนี้ คุณพิชัยเชื่อว่า คนที่มีรายได้สูงจะไม่บ่นหากต้องเสียภาษีมากขึ้น เพราะการที่ประเทศพัฒนาและคนในประเทศมีความสุขดีขึ้น จะนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนสำหรับทุกคน รวมถึงกลุ่มคนรวยเองด้วย
สำหรับเรื่องโครงสร้างภาษี
-ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แนวโน้มทั่วโลกคือ อัตราภาษีสูงสุด “ลดลง” เพื่อจูงใจคนเก่งให้เข้ามาทำงานในประเทศ
ในอดีตอัตราภาษีสูงสุดของไทยเคยสูงถึง 65% แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 35% และมีมาตรการพิเศษสำหรับผู้มีความสามารถสูงบางกลุ่ม ที่เก็บไม่เกิน 17%
-ภาษีเงินได้นิติบุคคล
แนวโน้มทั่วโลกคือ อัตราภาษีลดลง เพื่อจูงใจนักลงทุนต่างชาติ
ไทยเคยเก็บ 30% ลดลงเหลือ 20-22% เพื่อส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
-ภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax)
มีแนวคิดที่จะเก็บภาษีจากสมบัติที่สะสมเกินความจำเป็น เช่น บ้านที่มีราคาสูงเกิน 200 ล้านบาท
-ภาษีมรดก (Inheritance Tax)
เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการจัดสรรความมั่งคั่ง โดยมองว่าทรัพย์สินที่สร้างมาในแต่ละชีวิต ควรมีการแบ่งปันเพื่อประโยชน์ของประเทศ
-ภาษีการบริโภค (Consumption Tax/VAT)
เป็นภาษีที่สำคัญและมีขนาดใหญ่สำหรับหลายประเทศ เพราะเก็บจากทุกคนที่บริโภค
แนวคิดคือ ใครบริโภคมากจ่ายมาก ใครบริโภคน้อยจ่ายน้อย
คนรวยบริโภคมากก็จะจ่าย VAT มาก ทำให้เงินกองกลางมีมากขึ้น
อัตรา VAT ของไทยอยู่ที่ 7% มานานหลายสิบปี ในขณะที่ประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย 12% ส่วนจีน 18-19%
เงินจาก VAT สามารถนำไปจัดสรรเพื่อลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนรายได้น้อยถึงปานกลาง เช่น สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง ไฟฟ้า-น้ำ, การศึกษาฟรีในโรงเรียนรัฐ, ระบบขนส่งมวลชน, สาธารณสุข
การเพิ่ม VAT หากมีการจัดสรรงบประมาณอย่างดี จะช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำ
ทั้งนี้ การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ
รัฐบาลไทยได้เริ่มเปิดประตูและเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามามากขึ้น ทำให้ตัวเลข FDI ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ
1) ที่ดิน ต้องมีเพียงพอ
2) บุคลากรที่มีทักษะ แม้ไทยจะขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร แต่มีการแก้ไขโดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาหลักสูตรพิเศษ และจูงใจให้คนเก่งเรียนสายวิทยาศาสตร์ ด้วยค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
3) ประสิทธิภาพของภาครัฐ
การขอใบอนุญาตที่รวดเร็วและกระบวนการทำงานที่ไม่ซับซ้อน เป็นโจทย์ที่ยากที่สุดแต่สำคัญที่สุด โดยรัฐบาลกำลังพยายามปรับปรุงระบบราชการให้ทันสมัย ลดขั้นตอน และมี One-Stop Service
4) โครงสร้างพื้นฐาน
โดยเฉพาะไฟฟ้า ที่มีเพียงพอ และเป็นพลังงานสะอาดสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล
สุดท้าย สำหรับบทบาทภาครัฐและเอกชน ที่จะช่วยทำให้ประเทศไทย มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
ภาครัฐ ควรกำหนดนโยบายและเป็นผู้กำกับดูแล
ภาคเอกชน ควรเป็นผู้ดำเนินการผลิตและสร้างขีดความสามารถ
ควรแยกบทบาทกันอย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน
และควรเชิญชวนผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก และตัวแทนผู้บริโภค เข้ามาร่วมในหน่วยงานกำกับดูแล
ซึ่งการปฏิรูปราชการ เป็นความท้าทายสำคัญที่สุด
แต่การปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสนับสนุนภาคเอกชนให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น
โดยการจะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
คุณคุณพิชัย ย้ำว่า ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องมองเห็นภาพเดียวกัน เข้าใจเป้าหมายเดียวกัน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน
จุดแข็งของประเทศไทย คือมีทำเลที่ตั้งที่ดีเยี่ยม (เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก) มีพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ซึ่งต้องใช้ความได้เปรียบเหล่านี้ ในการวางยุทธศาสตร์ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางมหาอำนาจ
แม้การปฏิรูปเหล่านี้ต้องใช้เวลา
แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเริ่มต้น..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon