คู่มือวางแผนภาษีสำหรับ SME เรื่องที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

คู่มือวางแผนภาษีสำหรับ SME เรื่องที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

ฮิวแมนซอฟท์ x ลงทุนแมน
ภาษี ถือเป็นรายได้หลักที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุข การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างถนน การพัฒนาระบบจัดการน้ำ หรือโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการต่าง ๆ การเสียภาษีจึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปที่มีรายได้ หรือองค์กรธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล บริษัท ห้างหุ้นส่วน หรือคณะบุคคลที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
ภาษีสำหรับธุรกิจ SME ที่สำคัญมีอะไรบ้าง?
1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่เก็บจากผลกำไรสุทธิของกิจการ (กำไรสุทธิ = รายได้-ค่าใช้จ่าย) ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเสียภาษีนี้ คือ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับธุรกิจ SME รัฐได้กำหนดอัตราภาษีที่ลดหลั่นกันไปตามฐานกำไรสุทธิ ดังนี้
ลักษณะนิติบุคคล:
SME ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และ/หรือ มีรายได้ต่อรอบบัญชีไม่เกิน 30 ล้านบาท
- กำไรสุทธิ (บาท) ต่อปี: 0-300,000 บาท ยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ (บาท) ต่อปี: 300,001 - 3,000,000 บาท อัตราภาษี: 15%
- กำไรสุทธิ (บาท) ต่อปี: มากกว่า 3,000,000 บาท อัตราภาษี: 20%
นิติบุคคลทั่วไป
- กำไรสุทธิ (บาท) ต่อปี: ทั้งจำนวน อัตราภาษี: 20%
2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการ ทั้งในกรณีของบุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.3) หรือนิติบุคคล (ภ.ง.ด.53) มีหน้าที่หักจากเงินได้ของลูกจ้างแล้วนำส่งต่อกรมสรรพากร โดยอัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย จะแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบของค่าจ้าง โดยมีตัวอย่างดังนี้
ดอกเบี้ยเงินกู้
- บุคคลธรรมดา: อัตราภาษี 15%
- นิติบุคคล: อัตราภาษี 1%
เงินจากวิชาชีพอิสระ
- บุคคลธรรมดา: อัตราภาษี 3%
- นิติบุคคล: อัตราภาษี 3%
เงินจากค่าเช่า
- บุคคลธรรมดา: อัตราภาษี 5%
- นิติบุคคล: อัตราภาษี 5%
ค่านายหน้า
- บุคคลธรรมดา: อัตราภาษี 3%
- นิติบุคคล: อัตราภาษี 3%
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เกิดจากกระบวนการผลิตหรือบริการทางธุรกิจ การคิดภาษีมูลค่าเพิ่มจะคิดจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิต โดยธุรกิจ SME ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร และมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7%
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ภาษีที่เก็บจากการประกอบกิจการหรือธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน หลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต โรงรับจำนำ รวมถึงกิจการที่ทำธุรกรรมเสมือนธนาคาร เช่น ให้กู้ยืม รับแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือส่งเงินไปต่างประเทศ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า เป็นต้น
5. อากรแสตมป์
อากรแสตมป์ คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการทำตราสารทางกฎหมายที่กำหนดไว้ 28 ประเภท เช่น สัญญากู้ยืม สัญญาเช่า หรือหนังสือมอบอำนาจ โดยผู้ให้กู้หรือผู้ให้เช่าเป็นผู้มีหน้าที่เสียอากร ซึ่งสามารถอัพเดตเพิ่มเติมได้ที่บัญชีอัตราอากรแสตมป์
กำหนดการยื่นภาษีธุรกิจ SME ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ มีอะไรบ้าง?
เจ้าของธุรกิจ SME จำเป็นต้องรู้กำหนดการยื่นภาษีให้ชัดเจน เพราะหากยื่นล่าช้าจะมีทั้งค่าปรับและเงินเพิ่มที่ต้องจ่าย ดังนี้
1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ภ.ง.ด.51: ต้องยื่นทุก 6 เดือน ภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะบัญชี
- ภ.ง.ด.50: ยื่นทุก 12 เดือน ภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี หากเกินกำหนด จะถูกปรับไม่เกิน 4,000 บาท และชำระเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ต้องชำระ

2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53: ต้องยื่นทุกเดือน ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป หากเกินกำหนด จะโดนค่าปรับ 200 บาท และเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ค้าง
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภ.ธ.40: ต้องยื่นทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีรายรับหรือไม่ หากยื่นช้า มีค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท พร้อมชำระเงินเพิ่ม 2 เท่า ของภาษีที่ค้าง และดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภ.พ.30: ต้องยื่นทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่นเดียวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ หากยื่นช้าอาจถูกปรับไม่เกิน 600 บาท พร้อมชำระค่าปรับเพิ่ม 2%-20% ของภาษีเพิ่ม 2 เท่า และชำระเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ต้องชำระ
5. อากรแสตมป์
อ.ส.4 และ อ.ส.9: ต้องยื่นภายใน 15 วันหลังจากทำตราสารเสร็จสมบูรณ์ หากยื่นช้าอาจถูกปรับไม่เกิน 500 บาท
สรุปบทความ
สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) การจัดการภาษีถือเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากบริษัทใหญ่ เพราะการเสียภาษีอย่างถูกต้องช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย และหลีกเลี่ยงภาระค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เจ้าของกิจการจึงควรทำความเข้าใจข้อกำหนดด้านภาษีอย่างรอบด้าน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนภาษีให้สอดคล้องกับสภาพการเงินของกิจการ ไม่เพียงช่วยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจ แต่ยังสามารถใช้กลยุทธ์ทางภาษีมาลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon