
จากในหนัง สู่ชีวิตจริง Nick Leeson ตำนานผู้จัดการแบงก์ ที่ทำธนาคาร อายุ 233 ปี ต้องล้มละลาย
จากในหนัง สู่ชีวิตจริง Nick Leeson ตำนานผู้จัดการแบงก์ ที่ทำธนาคาร อายุ 233 ปี ต้องล้มละลาย /โดย ลงทุนแมน
*บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง “ลักกันวันตาย” ที่ออนแอร์ผ่าน Netflix ที่มีตัวละครเอกอย่าง “โต” รองผู้จัดการธนาคาร
คอยเป็นเสาหลัก แบกรับค่าใช้จ่ายของครอบครัว ที่ถือว่าเกินรายได้ไปมาก
*บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง “ลักกันวันตาย” ที่ออนแอร์ผ่าน Netflix ที่มีตัวละครเอกอย่าง “โต” รองผู้จัดการธนาคาร
คอยเป็นเสาหลัก แบกรับค่าใช้จ่ายของครอบครัว ที่ถือว่าเกินรายได้ไปมาก
นั่นจึงทำให้โต ต้องดิ้นรนด้วยวิธีการแบบเทา ๆ คือยักยอกเงินจากคนตาย เพื่อมาปรนเปรอครอบครัว
ซึ่งในชีวิตจริง ก็มีกรณีศึกษาของผู้จัดการธนาคาร ที่ล้มเหลวทางการเงินเช่นเดียวกัน
เขาคนนี้ ไม่ได้เพียงแค่ทำให้ตัวเองล้มละลายเท่านั้น
แต่เขายังทำให้ธนาคาร Barings ธนาคารเก่าแก่อายุ 233 ปีในประเทศอังกฤษ ต้องล้มละลายด้วยเลยทีเดียว
แต่เขายังทำให้ธนาคาร Barings ธนาคารเก่าแก่อายุ 233 ปีในประเทศอังกฤษ ต้องล้มละลายด้วยเลยทีเดียว
แล้ววีรกรรมของ Nick Leeson นั้นเป็นอย่างไร
ทำไมถึงมีจุดจบที่ไม่ต่างจาก โต ในภาพยนตร์ ลักกันวันตาย
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ทำไมถึงมีจุดจบที่ไม่ต่างจาก โต ในภาพยนตร์ ลักกันวันตาย
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Nick Leeson เขาไม่ได้มีพื้นเพเป็นคนรวย แต่มีความทะเยอทะยาน อยากจะยกระดับฐานะของตัวเอง ไม่ต่างจาก “โต” พระเอกของเรื่อง
โดย Leeson เกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เมื่อปี 1967
ด้วยฐานะที่ไม่สู้ดี ทำให้ Nick Leeson ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่เรียนจบเพียงแค่ระดับมัธยมปลาย
ด้วยฐานะที่ไม่สู้ดี ทำให้ Nick Leeson ไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่เรียนจบเพียงแค่ระดับมัธยมปลาย
เนื่องด้วยเขา มีพรสวรรค์ทางด้านการคำนวณตัวเลข และด้านการเงิน แถมตัวเขาก็ยังมีบุคลิกที่โดดเด่น พูดจาฉะฉาน
นั่นทำให้เขาก็ได้เริ่มงานเป็นเสมียนธนาคารท้องถิ่นแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
นั่นทำให้เขาก็ได้เริ่มงานเป็นเสมียนธนาคารท้องถิ่นแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน
ซึ่งเขาก็ได้สั่งสมความเก่ง และประสบการณ์การทำงานมาเรื่อย ๆ จนเขาได้ย้ายไปทำงานที่ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Morgan Stanley
สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
และจากนั้นในปี 1989 Nick Leeson ก็ได้ย้ายไปทำงานที่ธนาคาร Barings ซึ่งธนาคารนี้ เป็นธนาคารวาณิชธนกิจที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี 1762 หรือเมื่อ 263 ปีที่แล้ว
โดยเขาก็เริ่มงานที่นี่ ด้วยการเป็นพนักงานหลังบ้าน ที่คอยตรวจสอบเอกสาร และตรวจสอบใบซื้อขายอนุพันธ์
ด้วยความทะเยอทะยานของเขา ที่อยากจะไต่เต้าเลื่อนตำแหน่งเร็ว ๆ
เขาได้ทำการทุจริต ในการสมัครใบอนุญาตการเป็นโบรกเกอร์ หรือเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นในประเทศอังกฤษ
เขาได้ทำการทุจริต ในการสมัครใบอนุญาตการเป็นโบรกเกอร์ หรือเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นในประเทศอังกฤษ
เมื่อมีการโกงใบอนุญาตแบบนี้ ก็ถือว่าเขาได้ทำผิดจรรยาบรรณร้ายแรง
แต่ธนาคาร Barings ก็อยากจะให้เขาทำงานต่อ เพราะไม่อยากเสียบุคลากรเก่ง ๆ ไป
แต่ธนาคาร Barings ก็อยากจะให้เขาทำงานต่อ เพราะไม่อยากเสียบุคลากรเก่ง ๆ ไป
นั่นจึงทำให้ Nick Leeson ถูกส่งไปประจำที่สาขาสิงคโปร์ เพื่อที่จะไปดูแลการเทรดฟิวเจอร์สโดยตรง
โดยในระหว่างที่เขาประจำที่สาขาสิงคโปร์ เขาก็ช่วยธนาคาร Barings ในการจัดการเรื่องการเทรด และควบคุมการส่งคำสั่งซื้อขายของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือตลาดฟิวเจอร์ส
ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่เข้ามาพลิกผันชีวิตเขาก็คือ ในตอนที่เขายังเป็นหัวหน้าทีมเทรด ที่คอยรับเรื่องในการส่งคำสั่งซื้อขายให้กับลูกค้า เขาก็พบข้อผิดพลาด คือส่งคำสั่งให้ลูกค้าผิด
อธิบายง่าย ๆ คือในสมัยก่อน ถ้าลูกค้าต้องการเทรด
ลูกค้าจะต้องติดต่อมาที่โบรกเกอร์ ให้ส่งคำสั่งซื้อขายฟิวเจอร์ส หรือออปชันเพียงอย่างเดียว
ลูกค้าจะต้องติดต่อมาที่โบรกเกอร์ ให้ส่งคำสั่งซื้อขายฟิวเจอร์ส หรือออปชันเพียงอย่างเดียว
โดยยังไม่มีแอปเทรดฟิวเจอร์ส หรือออปชันให้ใช้กันแบบในปัจจุบัน
ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง ทีมงานของเขา ส่งคำสั่งเทรดผิดฝั่งหรือผิดจำนวน
เช่น สมมติลูกค้าต้องการ “ขาย” ฟิวเจอร์ส แต่พนักงานส่งคำสั่งเป็น “ซื้อ” แทน
เช่น สมมติลูกค้าต้องการ “ขาย” ฟิวเจอร์ส แต่พนักงานส่งคำสั่งเป็น “ซื้อ” แทน
เมื่อเป็นแบบนี้ ธนาคาร Barings จะต้องรับผิดชอบส่วนต่างราคาที่ผิดไป
แต่ Leeson กลับปกปิดข้อผิดพลาดตรงนี้
เพราะไม่อยากโดนสาขาสำนักงานใหญ่ที่ลอนดอน ตำหนิจนเสียหน้า
แต่ Leeson กลับปกปิดข้อผิดพลาดตรงนี้
เพราะไม่อยากโดนสาขาสำนักงานใหญ่ที่ลอนดอน ตำหนิจนเสียหน้า
แต่วิธีที่เขาเลือกใช้คือ การเทรดฟิวเจอร์สด้วยตัวเอง เพื่อให้ได้กำไรไปชดเชยส่วนที่จะต้องใช้จ่ายให้กับลูกค้า
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจริงเห็นช่องว่างในการทำกำไรให้กับบริษัท คือแทนที่จะรับส่งคำสั่งซื้อขายจากลูกค้าแบบเดิม ไปเป็นการเทรดออปชัน และฟิวเจอร์ส เพื่อหากำไรเข้าบริษัทเองซะเลย
โดยในปี 1992 ซึ่งเป็นช่วงที่รุ่งโรจน์ของเขา
เขาสามารถเทรดฟิวเจอร์ส จนสามารถทำกำไรให้กับบริษัทมากถึง 10 ล้านปอนด์
หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันกว่า 992 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของกำไรทั้งบริษัทในตอนนั้น
เขาสามารถเทรดฟิวเจอร์ส จนสามารถทำกำไรให้กับบริษัทมากถึง 10 ล้านปอนด์
หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันกว่า 992 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของกำไรทั้งบริษัทในตอนนั้น
เมื่อทางสำนักงานใหญ่ที่ลอนดอน ได้เห็นความสามารถของเขา
เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นพ่อมดการเงินแห่งเอเชีย
เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นพ่อมดการเงินแห่งเอเชีย
และผู้บริหารต่างก็ชื่นชม และไว้ใจเขาให้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไป
โดยดูแลสาขาสิงคโปร์ทั้งหมด พร้อมกับขึ้นเงินเดือน และตบรางวัลโบนัสให้กับเขาอย่างงาม
โดยดูแลสาขาสิงคโปร์ทั้งหมด พร้อมกับขึ้นเงินเดือน และตบรางวัลโบนัสให้กับเขาอย่างงาม
ระหว่างที่เขาเป็นผู้จัดการทั่วไป สิ่งที่เขาได้ทำก็คือการเทรดฟิวเจอร์ส และออปชันเหมือนเดิม
แต่เขาก็ได้ทำเพิ่มเติมก็คือ การทุจริตตกแต่งบัญชี..
แต่เขาก็ได้ทำเพิ่มเติมก็คือ การทุจริตตกแต่งบัญชี..
โดยเขาจะเลือกรายงานแต่กำไรจากการเทรดฟิวเจอร์ส ให้กับบริษัทสำนักงานใหญ่ แต่กลับปิดบังผลขาดทุน
โดยโยกตัวเลขที่ขาดทุน ไปอยู่ในบัญชีม้าที่เขาสร้างขึ้นเอง
บัญชีนั้นคือเลข 88888 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับบัญชีพนัน..
บัญชีนั้นคือเลข 88888 ซึ่งก็คล้าย ๆ กับบัญชีพนัน..
เหตุผลที่เขาใช้เลข 8 นั่นก็เพราะเลข 8 เป็นเลขนำโชคของคนจีน
เมื่อมีแต่กำไรเข้าบริษัท ก็จะทำให้เขาได้รับประเมินผลงานในระดับที่ดีมากต่อเนื่องหลายปี ได้ปรับเงินเดือนขึ้นเยอะ แถมมีโบนัส เงินรางวัล และค่าคอมมิชชันต่าง ๆ เข้ามาหาเขาอีกมากมาย
จึงทำให้จากพนักงานชนชั้นกลาง ที่ทำงานหลังขดหลังแข็ง
ได้เลื่อนสถานะกลายเป็นคนรวย ที่เลือกใช้ชีวิตหรูหรา และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว อย่างเช่น
ได้เลื่อนสถานะกลายเป็นคนรวย ที่เลือกใช้ชีวิตหรูหรา และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว อย่างเช่น
- การเลือกซื้อบ้านหรูในสิงคโปร์ แถมยังตกแต่งบ้านด้วยของนำเข้า
- ซื้อรถสปอร์ต นาฬิกาหรู และสูทหรู
- ซื้อเครื่องประดับแบรนด์เนม และออกทริปหรู กับภรรยาเป็นประจำ
- การเข้าร่วมงานเลี้ยงหรู และบริจาคเงินก้อนโต เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแวดวงไฮโซ ว่าตัวเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
- ซื้อรถสปอร์ต นาฬิกาหรู และสูทหรู
- ซื้อเครื่องประดับแบรนด์เนม และออกทริปหรู กับภรรยาเป็นประจำ
- การเข้าร่วมงานเลี้ยงหรู และบริจาคเงินก้อนโต เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแวดวงไฮโซ ว่าตัวเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
วันเวลาผ่านไป ไลฟ์สไตล์สุดฟุ่มเฟือยของเขา ก็ทำให้เขาเริ่มมีค่าใช้จ่ายเกินรายได้ไปมาก
แล้วกดดันให้เขา ต้องมาหากำไรจากการเทรดฟิวเจอร์สให้กับบริษัทมากขึ้น
และปกปิดผลขาดทุน ไว้ในบัญชีม้าเหมือนเดิม
แล้วกดดันให้เขา ต้องมาหากำไรจากการเทรดฟิวเจอร์สให้กับบริษัทมากขึ้น
และปกปิดผลขาดทุน ไว้ในบัญชีม้าเหมือนเดิม
แต่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้าง เพราะในเวลาต่อมา ตลาดฟิวเจอร์สที่อ้างอิงตลาด Nikkei มีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งทำให้พอร์ตในการลงทุน เกิดการขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก
จากปี 1992 Nick Leeson ซ่อนยอดขาดทุนไว้ 2 ล้านปอนด์
ในปี 1994 ยอดขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 208 ล้านปอนด์
ในปี 1994 ยอดขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 208 ล้านปอนด์
และสุดท้ายเรื่องมาแตกในปี 1995 เขาซื้อ Short Straddle
คือพนันว่าหุ้นในประเทศญี่ปุ่น จะเคลื่อนไหวไม่มากนัก
คือพนันว่าหุ้นในประเทศญี่ปุ่น จะเคลื่อนไหวไม่มากนัก
ถ้าเป็นไปตามที่เขาคาด เขาจะได้กำไร แต่ถ้าผิดคาด เขาจะขาดทุน
แต่สรุปแล้ววันนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ Black Swan นั่นก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมืองโกเบ
แต่สรุปแล้ววันนั้นกลับเกิดเหตุการณ์ Black Swan นั่นก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมืองโกเบ
ซึ่งทำให้เขาขาดทุน และเขาอยากจะเอาคืนอีก
โดยการซื้อขายที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น แต่มันทำให้ขาดทุนหนักขึ้นไปอีก..
โดยการซื้อขายที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น แต่มันทำให้ขาดทุนหนักขึ้นไปอีก..
ตลอดเวลาไม่กี่ปี ที่เขาได้ปกปิดการขาดทุน จากการเทรดของธนาคาร Barings
ทำให้ธนาคารขาดทุนไปมากถึง 827 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นมูลค่าเงินปัจจุบันที่ราว ๆ 69,000 ล้านบาท
ทำให้ธนาคารขาดทุนไปมากถึง 827 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นมูลค่าเงินปัจจุบันที่ราว ๆ 69,000 ล้านบาท
ผลขาดทุนก้อนใหญ่มหึมานี้ ก็ไม่สามารถปกปิดความจริง ที่บริษัทต้องแบกรับได้ เพราะการขาดทุนมากขนาดนี้ ทำให้กำไรสะสมที่ธนาคาร Barings ทำมาทั้ง 233 ปี หายเกลี้ยง..
จนในที่สุดธนาคาร Barings ประกาศล้มละลายในอีก 1 เดือนต่อมา
และทำให้พนักงานทุกคนในธนาคารนี้ทั่วโลกตกงานโดยทันที
และทำให้พนักงานทุกคนในธนาคารนี้ทั่วโลกตกงานโดยทันที
นอกจากเขาเป็นคนเดียว ที่เป็นเหตุให้ธนาคารเก่าแก่อายุมากกว่า 200 ปีของประเทศอังกฤษ ต้องล้มลง และทำให้พนักงานหลายพันชีวิตต้องตกงานแล้ว
ในด้านชีวิตส่วนตัวของเขา ก็มีสถานะทางการเงินที่เรียกได้ว่า เป็นบุคคลล้มละลายเช่นเดียวกัน
เพราะรายได้มหาศาลที่เขาได้รับ ระหว่างที่เขากำลังทำงานอยู่นั้น ก็ถูกใช้ไปกับของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ และใช้ชีวิตเกินฐานะ หรือเงินที่หามาได้อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งต่อมาเขาก็ถูกฟ้องล้มละลาย
โดยศาลได้ประเมินว่า เขามีหนี้สินรวมกันมากกว่า 100 ล้านปอนด์
ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เหลือน้อยกว่า 100,000 ปอนด์
โดยศาลได้ประเมินว่า เขามีหนี้สินรวมกันมากกว่า 100 ล้านปอนด์
ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เหลือน้อยกว่า 100,000 ปอนด์
และเขาก็ยังถูกศาลตัดสิน ด้วยการจำคุก 6 ปีครึ่ง ในเรือนจำของประเทศสิงคโปร์ ด้วยข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ตกแต่งบัญชี และฉ้อโกงตลาดทุน
ซึ่งต่อมา เขาก็ได้พ้นโทษและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความสมถะ
และปัจจุบัน เขาก็เริ่มมีชีวิตที่ดิบดี ด้วยการผันตัวมาเป็น นักสืบเอกชนที่จัดการคดีประพฤติมิชอบทางการเงิน
รวมถึงยังเป็นผู้ก่อตั้ง Bull and Bear Capital บริษัทที่บริการด้านการเทรดฟิวเจอร์ส และการวิเคราะห์ตลาดแบบเรียลไทม์
เรียกได้ว่า จากเรื่องสมมติของ โต ในภาพยนตร์เรื่อง ลักกันวันตาย
และเรื่องราวในชีวิตจริงของ Nick Leeson
และเรื่องราวในชีวิตจริงของ Nick Leeson
ก็มีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกันคือ การเป็นมนุษย์เงินเดือน อยากจะไต่เต้าเพื่อถีบตัวเองให้อยู่ในระดับสูงขึ้นไป อีกทั้งมีการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เกินฐานะของตัวเอง แล้วเลือกที่จะกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งในตอนจบ ทั้งคู่ก็ไปลงเอยในคุก แต่ผลกรรมสุดท้าย ก็อาจจะไปจบแตกต่างกันตามโชคชะตา ราวกับหนังคนละม้วน
ซึ่งลงทุนแมนคิดว่า ทั้งในภาพยนตร์และในชีวิตจริง ต่างก็เป็นอุทธาหรณ์สอนใจว่า
เราควรจะวางแผนการเงินดี ๆ แม้จะหาเงินมาได้เยอะแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จักวางแผนการใช้จ่าย
เราควรจะวางแผนการเงินดี ๆ แม้จะหาเงินมาได้เยอะแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จักวางแผนการใช้จ่าย
สุดท้าย ชีวิตที่เราเป็นอยู่ ก็เริ่มจะถูกผูกมัดด้วยหนี้
แล้วก็จะเริ่มสร้างความกดดันให้เราเลือกทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง..
แล้วก็จะเริ่มสร้างความกดดันให้เราเลือกทำให้สิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง..
ซึ่งเรื่องราวของ Nick Leeson ก็ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Rogue Trader
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็จะเล่าชีวิตจริงของเขา ตั้งแต่เริ่มงานที่ Barings Bank ไปจนถึงการทำให้ธนาคาร Barings ต้องล้มละลายไป..
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็จะเล่าชีวิตจริงของเขา ตั้งแต่เริ่มงานที่ Barings Bank ไปจนถึงการทำให้ธนาคาร Barings ต้องล้มละลายไป..