
JIAN CHA แบรนด์ชาผลไม้ไทย รุกธุรกิจสปา พร้อมเล็งเข้าตลาดหุ้น Nasdaq
ชากับธุรกิจ Wellness อย่างสปา ไม่น่าไปด้วยกันได้ แต่วันนี้ JIAN CHA แบรนด์ชาผลไม้ไทย กำลังสร้างอาณาจักร Wellness ของตัวเอง
ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างธุรกิจในประเทศเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศอีกด้วย
JIAN CHA จะเอา “สปา” กับ “ชา” ไปโตต่างประเทศได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
วันนี้ ลงทุนแมนได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณพลอย-พอลลี่ เฮสันต์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ JIAN CHA ที่ JAI CHAN Thai Massage and Head Spa ที่ชั้น 3 สยามดิสคัฟเวอรี่
ซึ่งเป็นแบรนด์สปาน้องใหม่แห่งแรกในเครือของ JIAN CHA นอกจากชาพรีเมียมอย่าง OH’ POLLY
โดยเปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ เช่น ตะวันออกกลางและฝั่งยุโรป ราว ๆ 80% ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าคนไทย
ลูกค้าต่างชาติเหล่านี้เข้ามาใช้บริการร้านนี้ได้ ด้วยการหาใน Google Maps รวมไปถึงช่องทางของแอปต่าง ๆ อย่าง Gowabi และ Klook
ซึ่งค่าบริการทั่วไปเริ่มต้นที่ 590 บาท ที่มีทั้งบริการ ASMR อย่างสปาผม ไปจนถึงบริการนวดผ่อนคลายทั่วไปตามราคาต่าง ๆ
เรียกได้ว่า JAI CHAN ก็เหมือนเป็นร้านสปาที่คล้าย ๆ กับร้านอื่นทั่วไป แต่พออยู่ในเครือของ JIAN CHA ที่ขายชาผลไม้ จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
แล้วทำไม JIAN CHA ถึงต้องไปทำธุรกิจสปา ทั้งที่ตัวเองขายชาผลไม้ อยู่แล้ว ?
เรื่องนี้คุณพลอยบอกว่า จริง ๆ แล้วด้วยความที่ JIAN CHA ขายชาผลไม้ที่ชูเรื่องสุขภาพอยู่แล้ว การต่อยอดด้วยแบรนด์สปา จึงสามารถโตไปพร้อมกันได้
ซึ่ง JAI CHAN จะเน้นชูคอนเซปต์การดูแลสุขภาพสมองระยะยาวหรือ Longevity Brain ที่มีทั้งรูป กลิ่น เสียง การสัมผัสเพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
โดยจะเอาพวกขมิ้น ดินสอพอง มะลิ มาผสมกับวัตถุดิบไทย ๆ เอามาทำพวกมาสก์หน้าต่าง ๆ เช่น มาสก์หน้าข้าว ยาสระผมข้าว เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยไปด้วย
นอกจากนี้ คุณพลอยยังมองว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่องสปาและการนวดที่คนต่างชาติต้องนึกถึง จึงอยากทำร้านสปาและการนวดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ว่าจะใช้บริการสาขาไหนก็ตาม
ที่บอกว่าเป็นมาตรฐาน ก็ไล่ตั้งแต่คอนเซปต์ร้าน โปรแกรมต่าง ๆ วัตถุดิบที่ใช้ในร้าน ไปจนถึงคู่มือฝึกอบรมพนักงานในแบบเดียวกัน
พอมีระบบแบบนี้ขึ้นมาแล้ว แบรนด์สปา JAI CHAN ก็สามารถขยายสาขาไปทั้งในและต่างประเทศได้ ด้วยการขายแฟรนไชส์ให้กับพาร์ตเนอร์ที่สนใจ
โดย JAI CHAN เลือกตั้งราคาแฟรนไชส์ไว้ที่ 2.5 ล้านบาท เท่ากันกับแฟรนไชส์ JIAN CHA และ OH’ POLLY ซึ่งเป็นค่าแรกเข้า รวมอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่ไม่รวมพวกวัตถุดิบอื่น ๆ
ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเปิด JAI CHAN ให้ได้ราว 10-15 สาขาภายในปีหน้า ในแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน แต่ก็มีแผนเปิดสาขาตามเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาหรือภูเก็ตเช่นกัน
และนอกจากรายได้จากการขายแฟรนไชส์แล้ว JAI CHAN ยังสามารถขายผลิตภัณฑ์ในร้านของตัวเองให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ
โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ก็สามารถต่อยอดไปขายบนช่องทางอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย
แต่ทั้งหมดนี้ คุณพลอยได้บอกว่า ทั้ง JIAN CHA และ JAI CHAN จะไม่ได้หยุดเติบโตแค่ในไทยเท่านั้น
เพราะเป้าหมายของ JIAN CHA และ JAI CHAN คือการขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อทำให้แบรนด์ไทยไปปักธงอยู่ทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นความพิเศษของชาผลไม้ที่มาจากประเทศไทย รวมถึงสปาและการนวดไทย ที่สามารถขยายการให้บริการไปทั่วโลกได้
ซึ่งตอนนี้ แบรนด์ JIAN CHA ก็ไปเปิดให้บริการที่สิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว โดยไปเปิดแถบอาคารสำนักงาน ที่เน้นเจาะพนักงานออฟฟิศเป็นหลัก
รวมไปถึงการขยายธุรกิจในประเทศอื่น ๆ อย่างสเปนและออสเตรเลีย ที่ทำให้ JIAN CHA กลายเป็นแบรนด์ไทยที่เริ่มไปโตในต่างประเทศ
ส่วนแบรนด์ JAI CHAN ที่ตอนนี้วางระบบไว้เป็นมาตรฐานแล้ว การนำไปต่อยอดเปิดสาขาในต่างประเทศจึงสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ JIAN CHA ในการนำชาผลไม้และสปาจากไทย ไปขายให้กับคนต่างชาติ
ซึ่งคุณพลอยมองว่า จริง ๆ แล้ว คนไทยมีความสามารถในการสร้างแบรนด์อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปยังต่างประเทศมากนัก
ตัวเองเลยอยากทำสิ่งที่เป็นจุดแข็งของไทย และ AI ก็ไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้ดี
ออกไปขายความเป็นประเทศไทยที่ต่างแดนมากขึ้น
ออกไปขายความเป็นประเทศไทยที่ต่างแดนมากขึ้น
โดยคุณพลอยเอง ก็ยังวางเป้าหมายที่ใหญ่ในอีก 5-7 ปีต่อจากนี้ว่า JIAN CHA จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq ของสหรัฐฯ ที่มีทั้ง 3 แบรนด์ในเครืออย่าง JIAN CHA, JAI CHAN และ OH’ POLLY
ปิดท้ายด้วยข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ
ถ้าลองสลับตัวอักษรในแบรนด์ JIAN CHA
ก็จะออกมาเป็นแบรนด์สปาอย่าง JAI CHAN นั่นเอง..
ก็จะออกมาเป็นแบรนด์สปาอย่าง JAI CHAN นั่นเอง..