
เวเนซุเอลา จากพันธมิตรน้ำมันสู่ศัตรู ของสหรัฐฯ
เวเนซุเอลา จากพันธมิตรน้ำมันสู่ศัตรู ของสหรัฐฯ /โดย ลงทุนแมน
“ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร” ประโยคที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ จากอดีตจนถึงตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
“ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร” ประโยคที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเวเนซุเอลาและสหรัฐฯ จากอดีตจนถึงตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะเวเนซุเอลาเคยเป็นเหมือนพันธมิตรคนสำคัญ เหมือนกับปั๊มน้ำมันให้สหรัฐฯ นำไปใช้ในช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น
แต่วันนี้ ทั้งคู่กลายเป็นศัตรูระหว่างกันไปแล้ว
จากพันธมิตรกลายเป็นศัตรูกันได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เคยเป็นเพื่อนกันนี้ ต้องย้อนไปในช่วงปี 1920 เมื่อมีการค้นพบแหล่งน้ำมันในแถบลุ่มน้ำมาราไกโบของเวเนซุเอลา
โดยบริษัทน้ำมันต่างชาติแรก ๆ ที่เข้ามาขุดเจาะตรงนี้
นั่นคือ Royal Dutch Shell กลุ่มทุนที่ร่วมกันระหว่างอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในตอนนั้น
นั่นคือ Royal Dutch Shell กลุ่มทุนที่ร่วมกันระหว่างอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในตอนนั้น
แต่น้ำมันถือเป็นสินค้ายุทธปัจจัย ที่ถ้าประเทศไหนได้ครอบครองก็จะมีอำนาจมากขึ้น
ทำให้สหรัฐฯ เองก็อยากเข้ามาทำธุรกิจน้ำมันในเวเนซุเอลาบ้าง
บวกกับในเวลานั้น เวเนซุเอลาที่เคยขัดแย้งกับอังกฤษเรื่องดินแดน แต่ได้สหรัฐฯ มาเป็นคนไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้จึงยอมให้สหรัฐฯ เข้ามาขุดเจาะน้ำมันในประเทศ
ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ เพราะก่อนหน้านี้มีแค่ Royal Dutch Shell ที่เกี่ยวข้องกับคู่ขัดแย้งเดิมอย่างอังกฤษ เวเนซุเอลาจึงยินดีที่บริษัทน้ำมันอเมริกันจะมาลงทุนในประเทศ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวเนซุเอลาจึงมีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มาโดยตลอด ผ่านสองบริษัทน้ำมันสำคัญอย่าง Standard Oil และ Gulf Corporation
จากวันแรกที่ผลิตน้ำมันไม่ได้เลย ผ่านมาเกือบ 20 ปี
ในปี 1939 เวเนซุเอลาสามารถผลิตน้ำมันได้วันละ 563,000 บาร์เรล
ในปี 1939 เวเนซุเอลาสามารถผลิตน้ำมันได้วันละ 563,000 บาร์เรล
กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตเท่านั้น และยังเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลกในตอนนั้นด้วย
ซึ่งในช่วงเวลานี้ กำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ทำให้เวเนซุเอลากลายเป็นปั๊มน้ำมันหลักให้สหรัฐฯ นำเอาไปใช้เตรียมตัวทำสงคราม โดยสหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาลงถึง 50%
ทำให้เวเนซุเอลากลายเป็นปั๊มน้ำมันหลักให้สหรัฐฯ นำเอาไปใช้เตรียมตัวทำสงคราม โดยสหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาลงถึง 50%
แต่ปัญหาคือ เงินจากการขายน้ำมันก็ไปตกอยู่ในกระเป๋าของบริษัทน้ำมันต่างชาติอยู่ดี ทำให้รัฐบาลเวเนซุเอลา ตัดสินใจต่อรองส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทอเมริกันมากขึ้น
ในตอนนั้น สหรัฐฯ ที่กำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยอมแต่โดยดี และตกลงแบ่งกำไร 50% ของบริษัทน้ำมันอเมริกันให้กับเวเนซุเอลา
รวมถึงให้บริษัทน้ำมันสัญชาติอเมริกันต้องตั้งโรงกลั่นในเวเนซุเอลา แลกกับการต้องจ่ายค่าสัมปทานคงที่
ด้วยผลประโยชน์ที่ตกลงกันนี้ ทำให้รัฐบาลเวเนซุเอลามีรายได้ที่มากขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ ก็มั่นใจว่าตัวเองมีแหล่งน้ำมันจากพันธมิตรที่เพียงพอในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรที่ถาวรก็ไม่ได้อยู่แบบนี้ตลอดไป..
เพราะสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ทำข้อตกลงแบบนี้กับแค่เวเนซุเอลาอย่างเดียว แต่ยังทำแบบนี้กับซาอุดีอาระเบียด้วย
ซึ่งเมื่อข้อตกลงเป็นแบบนี้ บริษัทน้ำมันต่างชาติจึงใช้วิธีกดราคาขายน้ำมันให้ต่ำลง เพื่อให้ส่วนแบ่งกำไรที่ต้องให้กับรัฐบาลเหล่านี้ลดลง
ความไม่พอใจที่ราคาน้ำมันตกต่ำมากเกินไปนี้เอง ทำให้ซาอุดีอาระเบียชักชวนเวเนซุเอลา มาก่อตั้งองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือ OPEC ด้วยกันในปี 1960
ซึ่งเมื่อมีอำนาจต่อรองราคาน้ำมันในตลาดโลกมากขึ้น
รัฐบาลเวเนซุเอลาภายใต้ประธานาธิบดี Carlos Andrés Pérez ออกกฎหมายให้กิจการน้ำมันทั้งหมดต้องตกเป็นของรัฐบาล
รัฐบาลเวเนซุเอลาภายใต้ประธานาธิบดี Carlos Andrés Pérez ออกกฎหมายให้กิจการน้ำมันทั้งหมดต้องตกเป็นของรัฐบาล
และมีการก่อตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Petróleos de Venezuela S.A. หรือ PDVSA ขึ้น เพื่อดำเนินกิจการน้ำมันเอง พร้อมจ่ายค่าชดเชยให้บริษัทน้ำมันต่างชาติทั้งหมด
ทั้งนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทน้ำมันอเมริกันจะออกไปจากเวเนซุเอลาเลย เพราะบริษัทอย่าง ExxonMobil ก็ยังเป็น
คู่ค้าคนสำคัญให้กับบริษัท PDVSA อยู่
คู่ค้าคนสำคัญให้กับบริษัท PDVSA อยู่
และในช่วงปี 1998 เมื่อแหล่งน้ำมันในประเทศเริ่มมีน้อยลง รัฐบาลเวเนซุเอลาก็ยังเปิดสัมปทานให้บริษัทอเมริกัน เข้ามาขุดเจาะน้ำมันชนิดพิเศษแทน
ที่บอกว่าพิเศษ ก็เพราะว่ามันเป็นน้ำมันดิบหนักพิเศษหรือ
Extra-Heavy Crude Oil ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขุดเจาะและกลั่นขั้นสูง ซึ่งบริษัทอเมริกันสามารถทำแบบนี้ได้
Extra-Heavy Crude Oil ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขุดเจาะและกลั่นขั้นสูง ซึ่งบริษัทอเมริกันสามารถทำแบบนี้ได้
ดังนั้น แม้จะมีบริษัทน้ำมันแห่งชาติของตัวเอง แต่ความเป็นพันธมิตรน้ำมันกับสหรัฐฯ ก็ยังคงอยู่ผ่านบริษัทน้ำมันอเมริกันที่เข้ามาขุดเจาะน้ำมันชนิดพิเศษในประเทศ
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อชายคนหนึ่งได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของประเทศ
ชายคนนั้นชื่อว่า Hugo Chávez ที่ประกาศนโยบายว่า
จะแจกจ่ายผลประโยชน์แก่คนยากจนที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างเต็มที่
จะแจกจ่ายผลประโยชน์แก่คนยากจนที่มีอยู่ทั่วประเทศอย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินโดยตรง การสร้างที่อยู่อาศัย หรือการแจกอาหาร และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสาธารณสุขและการศึกษาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พอประกาศนโยบายไปแบบนี้ แน่นอนว่าทุกอย่างก็ต้องใช้เงิน และเงินที่ว่านี้ก็มาจากบริษัทน้ำมันแห่งชาติอย่าง PDVSA นั่นเอง
แทนที่กำไรของบริษัทจะถูกนำไปใช้ในการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ หรือนำไปใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ในการสำรวจและผลิตน้ำมันของบริษัท
แต่กำไรเหล่านั้น กลับถูกนำมาใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล ตามที่ได้สัญญากับประชาชนไว้
ซึ่งพอกำไรลดลง แต่ยังอยากได้เงินมาทำนโยบายเหมือนเดิม ก็ต้องไปบีบส่วนแบ่งจากบริษัทน้ำมัน ที่มาขุดเจาะน้ำมันดิบชนิดพิเศษในประเทศก่อนหน้านี้
เพราะ Hugo Chávez เริ่มเห็นว่าการลงทุนของบริษัทเหล่านี้เริ่มได้ผลกำไรแล้ว จึงบีบให้โครงการขุดเจาะทั้งหมดนี้ ต้องเปลี่ยนเป็นบริษัทร่วมทุนกับรัฐบาลแทน
โดยให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติ หรือ PDVSA ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 60%
บริษัท Total, Chevron และ BP ยอมรับข้อตกลง และทำโครงการต่อในเวเนซุเอลา แต่บริษัท ExxonMobil และ ConocoPhillips จากฝั่งสหรัฐฯ ตอบปฏิเสธ และถอนทุนกลับไป
ซึ่งกลายเป็นจุดแตกหักสำคัญ ที่ทำให้เวเนซุเอลาไม่ใช่พันธมิตรน้ำมันของสหรัฐฯ อีกต่อไป และนำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจำนวนมหาศาลแทน
นอกจากนี้ จุดแตกหักอีกอย่างหนึ่งก็คือ Hugo Chávez เลือกหันไปจับมือกับอิหร่าน รัสเซีย และจีน ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกับสหรัฐฯ แทบทั้งหมดแทน
การจับมือที่ว่านี้ ก็มีตั้งแต่การขายน้ำมันดิบระหว่างกัน
ไปจนถึงเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันหนักชนิดพิเศษที่เวเนซุเอลาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญตั้งแต่แรก
ไปจนถึงเทคโนโลยีในการขุดเจาะน้ำมันหนักชนิดพิเศษที่เวเนซุเอลาไม่ได้มีความเชี่ยวชาญตั้งแต่แรก
ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เริ่มคว่ำบาตรเศรษฐกิจกับเวเนซุเอลา เช่น ห้ามบริษัทอเมริกันนำเข้าน้ำมันจากประเทศนี้ รวมไปถึงการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA ด้วย
เป็นการบีบเศรษฐกิจเวเนซุเอลาที่ย่ำแย่อยู่แล้ว จากนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง ก็ยิ่งทำให้คนในประเทศอยากอพยพออกไปมากขึ้น
และปลายทางที่ว่านี้ก็คือ สหรัฐฯ โดยตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา มีคนราวกว่า 7 ล้านคนที่อพยพหนีวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศตัวเองไปยังสหรัฐฯ แทน
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นภาพที่ตอบคำถามได้ดีตอนนี้ว่า ทำไมเวเนซุเอลาจึงกลายเป็นศัตรูคู่ขัดแย้งของสหรัฐฯ ทั้งที่ทั้งคู่ก็เคยเป็นพันธมิตรน้ำมันด้วยกันมาก่อน
แต่โลกนี้ก็เป็นแบบนี้ ที่ไม่มีอะไรแน่นอน จนมีคำกล่าวว่า
“ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรตลอดไป”
“ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวรตลอดไป”
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีผลประโยชน์ระหว่างกัน เมื่อนั้นก็ต้องมีการต่อรองไปมาอย่างนี้อยู่เสมอ..