กรณีศึกษา คนอินเดียไม่ดู NETFLIX

กรณีศึกษา คนอินเดียไม่ดู NETFLIX

11 เม.ย. 2019
กรณีศึกษา คนอินเดียไม่ดู NETFLIX / โดย ลงทุนแมน
NETFLIX ถือเป็นหนึ่งในผู้นำ Video Streaming และมีการขยายธุรกิจไปทั่วโลก
แต่ทราบหรือไม่ว่า มีอยู่ประเทศหนึ่งที่ NETFLIX ยังไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
ประเทศนั้นคือ อินเดีย..
เพราะอะไร บริษัทระดับโลกที่แข็งแกร่งอย่าง NETFLIX ถึงเผชิญกับความยากลำบากในอินเดีย
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ปัจจุบันธุรกิจของ NETFLIX มีมูลค่าอยู่ราว 5 ล้านล้านบาท และผลประกอบการ ก็อยู่ในช่วงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปี 2017 รายได้ 3.7 แสนล้านบาท กำไร 1.8 หมื่นล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 5.0 แสนล้านบาท กำไร 3.8 หมื่นล้านบาท
NETFLIX ได้เปิดให้บริการใน 190 ประเทศทั่วโลก โดยมีจำนวนสมาชิกแบบจ่ายค่าบริการทั้งหมด 139 ล้านบัญชี แบ่งเป็น
สมาชิกในสหรัฐอเมริกา 58.5 ล้านบัญชี
สมาชิกในประเทศอื่นๆ 80.5 ล้านบัญชี
จะเห็นได้ว่า รายได้ส่วนใหญ่ของ NETFLIX มาจากฐานลูกค้าต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมองว่า ตลาดของพวกเขา คือประชากรทุกคนบนโลกใบนี้
แต่อย่างไรก็ตาม มีอยู่แห่งหนึ่ง ที่ NETFLIX ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด นั่นคือ “ประเทศอินเดีย”
อินเดีย ถือเป็นตลาดที่มีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ ด้วยประชากร 1.3 พันล้านคน และ GDP มูลค่า 93 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 6 เท่า
ในปัจจุบัน คนอินเดียเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ต 560 ล้านคน หรือราว 43% ของประชากร
ทั้งนี้ ตลาด Video Streaming ในอินเดีย มีมูลค่าประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 7.6 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2023
NETFLIX ได้เข้ามาทำธุรกิจในอินเดีย เมื่อปี 2016 พร้อมๆ กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อีกรายคือ Amazon Prime
แต่ทั้งคู่ต้องเจอสนามการแข่งขันที่ดุเดือด เนื่องจากมีผู้เล่นมากกว่า 30 รายในตลาด ทำให้ยังไม่สามารถสู้กับแบรนด์ท้องถิ่นได้
ส่วนแบ่งตลาด Video Streaming ในประเทศอินเดีย
69% Hotstar
5% Amazon Prime
1% NETFLIX
คอนเทนต์ของ NETFLIX นั้นเป็นภาพยนตร์สากลหลากหลายประเภท ทั้งที่ซื้อมาและผลิตเอง ครอบคลุมความนิยมของผู้ชมแทบทุกกลุ่ม
แต่ทว่ามันยังขาดสิ่งที่คนอินเดียนิยมรับชมกัน นั่นคือ หนังอินเดียที่เป็นภาษาท้องถิ่น และกีฬาประจำชาติอย่าง คริกเก็ต
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ Hotstar แบรนด์ในเครือสื่อโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของประเทศที่ชื่อว่า Star India ได้นำเสนอให้ผู้บริโภคได้รับชม เพราะบริษัทมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ตลาดต้องการสินค้าประเภทใด ต่างจาก NETFLIX ที่เสนอความเป็นสากลเป็นหลัก
ในขณะที่ Amazon Prime มีการซื้อลิขสิทธิ์รายการท้องถิ่นมาฉาย รวมทั้งเชื่อมกับระบบ E-Commerce และ Amazon Music ทำให้มีบริการที่หลากหลาย และครองส่วนแบ่งได้มากกว่า
จากบทเรียนนี้ NETFLIX จึงเริ่มหันมาผลิตออริจินัลคอนเทนต์เชิงท้องถิ่นมากขึ้น โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวหนังเอเชีย 17 เรื่อง ซึ่งเป็นหนังอินเดียถึง 8 เรื่อง ด้วยกัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ ราคา
เพราะรายได้เฉลี่ยต่อหัวของอินเดีย อยู่ที่เดือนละ 5,600 บาท จัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำถึงปานกลาง
ซึ่งเมื่อเทียบราคาแล้ว NETFLIX ยังคิดค่าบริการสูงกว่ารายอื่นอยู่มาก
Hotstar คิดค่าบริการ 95 บาทต่อเดือน
Amazon Prime คิดค่าบริการ 60 บาทต่อเดือน
NETFLIX คิดค่าบริการ 230 บาทต่อเดือน
โดยสรุปแล้ว การเอาชนะตลาดที่มีปัจจัยแวดล้อมในลักษณะนี้ เช่น ประเทศอินเดีย คงต้องอาศัยสองถูกคือ ถูกใจและราคาถูก
เรื่องราวนี้ให้แง่คิดกับเราว่า
ความเป็นสากล ที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ อาจจะใช้ไม่ได้กับบางแห่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของคนท้องถิ่น
ดังนั้น การทำธุรกิจในต่างแดน ย่อมต้องปรับบริการให้เข้ากับความต้องการของคนในประเทศนั้นด้วยเช่นกัน
บางคนต้องการหาสูตรสำเร็จ ทำทีเดียวแล้วใช้ได้ทั่วโลก
แต่ถ้าถาม NETFLIX ในตอนนี้ เขาอาจจะบอกว่าสูตรนั้นไม่มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ในประเทศอินเดีย..
----------------------
รู้ไหม ความเสี่ยงของ NETFLIX คืออะไร อ่านได้ที่
https://www.blockdit.com/articles/5c46df20bf166a3dfc7d2693
ติดตามเรื่องหลากหลาย จากผู้เขียนเก่งๆ หลายท่าน ในแอป blockdit โหลดได้ที่ http://www.blockdit.com
สั่งซื้อหนังสือลงทุนแมน 9.0 ได้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/90-i293980783-s493954943.html
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.