สรุป อินไซต์การลงทุนปีหน้า จาก SCB WEALTH

สรุป อินไซต์การลงทุนปีหน้า จาก SCB WEALTH

28 พ.ย. 2023
วันนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดงาน SCB WEALTH HOLISTIC EXPERTS ขึ้น เพื่ออัปเดตภาพรวมการลงทุนปีนี้ และเทรนด์การลงทุนปีหน้า
แล้วภาพรวมการลงทุนปีนี้ และปีหน้าเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ย้อนกลับไปช่วงต้นปี หลายฝ่ายมองกันว่าโลกของเรา ออกจากการล็อกดาวน์แล้ว ทุกอย่างก็จะเริ่มดีขึ้น
แต่เรากลับต้องมาเจอกับข่าวร้ายตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็น
- เศรษฐกิจถดถอย
- การขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- สงครามตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ
สรุปสั้น ๆ เลยคือ ปีนี้เป็นปีแห่งความผันผวน
แต่พอมาปลายปี ตลาดก็เริ่มมองว่าเศรษฐกิจแค่เพียงชะลอตัว ในชนิดที่สามารถจัดการได้
ทำให้จากเดิม ที่มองกันว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในระดับสูง และค้างนาน หรือ Higher for Longer เปลี่ยนไปเป็นความหวังว่าธนาคารกลาง จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยกันมากกว่า
ในขณะเดียวกัน SCB ยังมองว่ายังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามกันอยู่ ได้แก่
- ภาวะ Stagflation เป็นภาวะเศรษฐกิจโตช้า แต่เงินเฟ้อสูง
- ธุรกิจหนี้สูง หนี้ใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก มีความเสี่ยงกู้แพงขึ้น
นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งในประเทศหลัก ๆ จะทำให้ตลาดการลงทุนผันผวน และสภาพคล่องทั้งโลก มีแนวโน้มจากนโยบาย QT หรือการดูดเงินกลับเข้าสู่ระบบ
โดย SCB มองว่าปีหน้า ให้ระมัดระวังการลงทุน ควรแบ่งเงินลงทุนไปต่างประเทศ เน้นลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพสูง เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade
ถ้าเป็นหุ้นรายตัว ก็มองไปที่กลุ่ม Quality Growth เช่น 7 บริษัทมูลค่ามากสุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย
ทีนี้ มาเจาะลึกที่ตลาดหุ้นไทยกันบ้าง
- ตลาดหุ้นไทยปีหน้า
ในมุมมองของ อินโนเวสท์ เอกซ์ ยังคงมีความผันผวน แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปีนี้
เหตุผลหลัก ๆ เลยคือ มองว่าตลาดหุ้นไทย Undervalued หรืออยู่ในระดับต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน
ตลาดจะยังมีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก และจะปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมายของ SET Index ปีหน้า จะอยู่ที่ 1,750 จุด
ด้านความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว และถดถอย คาดว่าจะไม่รุนแรงอย่างที่คิด เป็นเพียง Soft Landing และ Mild Recession เท่านั้น
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง
หากเป็นแบบนี้ เงินทุนต่างชาติจะไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง
สำหรับกลุ่มธุรกิจไทยที่ลงทุนในปีหน้า มี 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่เติบโตโดดเด่นกว่าค่าเฉลี่ย
ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ และขนส่ง
- กลุ่มที่ราคาลดลงจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่พื้นฐานยังดี เช่น โรงไฟฟ้า และ REIT
- หุ้นที่มี ESG Score สูงระดับ AAA แต่ราคาลงมามาก
นอกจากนี้ ก็ยังมีมุมมองเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ Wealth Management จาก BCG บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ที่ได้เข้ามาร่วมบรรยาย เปิดเผยว่า ตลาด Wealth ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีอัตราการเติบโต 4.5% ต่อปี ในช่วง 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า
โดยมี 4 เทรนด์หลัก ๆ ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ
- ลูกค้ากลุ่ม High Net Worth
ต้องการได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนมรดก และวางแผนเพื่อการเกษียณ
- สถาบันการเงินข้ามชาติ ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ เข้ามาแข่งขันกันอย่างร้อนแรงในธุรกิจกลุ่มนี้
- ลูกค้าต้องการคำแนะนำ ที่ครบถ้วน และหลากหลายมากขึ้น
- ลูกค้าต้องการประสบการณ์ใช้งานบริการแบบไร้รอยต่อ เช่น การจัดพอร์ตกองทุน การค้นหาข้อมูลอัปเดตตลาด ไปจนถึงการทำรายการซื้อขาย และมอนิเตอร์พอร์ตการลงทุน
สำหรับความเห็นเรื่องภาษีหุ้นนอก
ปัจจุบันชัดเจนแล้วว่า สินทรัพย์ที่จดทะเบียนในไทย อย่างเช่น กองทุน จะไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติม
แต่สินทรัพย์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น การลงทุนในหุ้นรายตัว นักลงทุนก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์การลงทุน
โดยเรายังคงต้องติดตามความชัดเจนในเรื่องของการนำรายได้กลับประเทศ ว่าจะมีการแบ่งแยก และตรวจสอบอย่างไร
ซึ่งความไม่แน่นอนของหลักเกณฑ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุนไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ
การลงทุนในกองทุนรวมไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ จึงจะมีข้อได้เปรียบกว่า ตรงที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้กำไรจากการลงทุน ..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.