Gen Z เข้าสู่ตลาดแรงงาน: เจ้าของธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร

Gen Z เข้าสู่ตลาดแรงงาน: เจ้าของธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร

ฮิวแมนซอฟท์ x ลงทุนแมน
เมื่อวัยรุ่นยุคใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยเฉพาะวัยรุ่น Gen Z เจ้าของธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร?
วัยรุ่น Gen Z หรือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปีพ.ศ. 2540 – 2556 เป็นเจเนอเรชันที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดียตั้งแต่วัยเด็ก เรียกได้เลยว่าวัยรุ่นเจนนี้ เป็น "ดิจิทัลเนทีฟ" ตัวจริง ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีเป็นเรื่องธรรมชาติในชีวิตประจำวันนั่นเอง
ในยุคสมัยปัจจุบัน โลกและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการดำเนินชีวิต ความคิด และทัศนคติต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือพูดได้ว่าอยู่ในยุคที่เปิดกว้างในหลาย ๆ ด้าน ยกตัวอย่างเช่น การเปิดรับความหลากหลายทางเพศ การเปิดรับวัฒนธรรมร่วมสมัย ในสมัยนี้ทุกคนจึงมีพื้นที่ในการแสดงความ “เป็นตัวเอง” ได้อิสระมากยิ่งขึ้น เพราะสังคมให้ความสำคัญกับการเคารพสิทธิส่วนบุคคลมากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งวัยรุ่น Gen Z เป็นเจนที่เติบโตมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้มีลักษณะเฉพาะที่มีความแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ คือ พวกเขาเปิดรับและยอมรับความหลากลหาย ทั้งด้านความคิด เพศ และวัฒนธรรม ให้ความสำคัญกับความหมายของชีวิตและงาน มีความกล้าแสดงออก กล้าตั้งคำถาม และรักในความยุติธรรม ตลอดจนต้องการความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต จนบางทีคนเจนนี้อาจถูกมองว่า “ขี้เบื่อ” หรือ “ไม่อดทน” แต่จริง ๆ แล้ว Gen Z คือคนที่ "คิดไว ทำไว และกล้าท้าทายกรอบเดิม" เพื่อสร้างสิ่งใหม่ให้กับโลก

ด้วยลักษณะเฉพาะของวัยรุ่น Gen Z การทำงานแบบเดิมจึงอาจไม่เข้ากับพวกเขาเท่าไหร่นัก เพราะคุ้นชินกับความรวดเร็ว ยืดหยุ่น และการเปลี่ยนแปลง ทำให้ระบบการทำงานแบบเดิม เช่น ระบบสั่งงานแบบบนลงล่าง หรือองค์กรที่ขาดการสื่อสารแบบเปิด อาจไม่สอดคล้องกับวิธีคิดและความคาดหวังของคนรุ่นนี้

Gen Z ให้ความสำคัญกับ ความหมายของงาน มากกว่าแค่เงินเดือน พวกเขาอยากรู้ว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อสังคมอย่างไร หรือช่วยให้ตนเองเติบโตได้จริงหรือไม่ พวกเขายังต้องการ อิสระในการแสดงออก และอยากทำงานในวัฒนธรรมที่เปิดรับความหลากหลาย ไม่ตัดสินจากรูปลักษณ์หรือแนวคิด ดังนั้นหากองค์กรยังคงใช้ระบบการบริหารแบบเดิมที่เน้นความเป็นทางการ เคร่งครัด และขาดความยืดหยุ่น อาจทำให้ Gen Z รู้สึกอึดอัด ไม่ผูกพัน และเลือกจะเดินออกไปหาสิ่งที่ "ตอบโจทย์ชีวิต" มากกว่า

การปรับตัวของเจ้าของธุรกิจเพื่อรองรับแรงงาน Gen Z
เมื่อแรงงานรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างเต็มตัว เจ้าของธุรกิจไม่อาจยึดติดกับวิธีการบริหารแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะ Gen Z คือคนรุ่นที่มีแนวคิด ทัศนคติ และความคาดหวังที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน พวกเขาให้ความสำคัญกับ คุณค่าของงาน, สมดุลชีวิต, และวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง
การปรับตัวจึงไม่ใช่แค่ “เปลี่ยนรูปแบบการทำงาน” แต่คือการ เปลี่ยนวิธีคิด ของผู้บริหาร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ Gen Z รู้สึกมีส่วนร่วมและมีคุณค่า ซึ่งการปรับตัวที่สำคัญ ได้แก่
• ปรับรูปแบบการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น (Flexible Work)
Gen Z ไม่ได้มองว่า “การทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน = ความขยัน” พวกเขาให้ความสำคัญกับ “ผลงาน” มากกว่า “เวลาเข้างาน” ดังนั้นองค์กรควรเปิดโอกาสให้พนักงานทำงานแบบ Remote, Hybrid หรือ Work from home หากลักษณะงานเอื้ออำนวย
• เน้นวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างและไม่ลำดับชนชั้น (Flat Culture)
Gen Z เติบโตในสังคมที่เปิดกว้าง กล้าแสดงออก และคุ้นเคยกับการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียม พวกเขาไม่ชอบระบบที่มีลำดับชั้นมากเกินไป หรือรูปแบบการสื่อสารที่มีแต่ “ผู้ใหญ่พูด เด็กฟัง” เท่านั้น
ดังนั้น การเปิดโอกาสให้คนรุ่นนี้ได้เสนอความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งเปิดใจรับฟังอย่างจริงจังและนำไปปรับใช้อย่างเหมาะสม จึงเป็นทางออกสำคัญในการสร้างการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
• ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning)
Gen Z เป็นคนรุ่นที่กระหายการเรียนรู้ พวกเขาต้องการงานที่ไม่เพียงให้รายได้ แต่ยังช่วยให้พัฒนาตนเองและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสนับสนุนให้คนรุ่นนี้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสร้างสรรค์ตามความสนใจ ไม่ว่าจะผ่านการอบรม เวิร์กช็อป หรือการเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และส่งเสริมให้พวกเขาเติบโตไปพร้อมกับองค์กรอย่างยั่งยืน
• ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและ (Work-Life Balance)
Gen Z มองว่าการทำงานหนักเกินไปไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจ แต่คือ “สัญญาณอันตราย” พวกเขาต้องการองค์กรที่ห่วงใยทั้งงานและใจ เพราะ Gen Z มองว่าคุณภาพชีวิตและความสุขในการทำงานสำคัญไม่น้อยไปกว่าความก้าวหน้าในอาชีพ พวกเขาคาดหวังว่าองค์กรจะไม่เพียงแค่สนใจผลงานหรือผลประกอบการเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจสภาพจิตใจ ความรู้สึก และความเป็นอยู่ของพนักงานด้วย
• แสดงจุดยืนและคุณค่าขององค์กรให้ชัด (Purpose-Driven Culture)
Gen Z มีแนวคิดต่างจากแนวคิดของคนรุ่นก่อนที่มักให้ความสำคัญกับเรื่อง ผลตอบแทนทางการเงิน เป็นหลัก หรือให้ความสำคัญกับความมั่นคงในอาชีพ แต่คนเจนนี้กลับมองการทำงานในมุมที่ ลึกและมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า สำหรับพวกเขา “เงิน” เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัย แต่ “คุณค่าขององค์กร” คือสิ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะร่วมงานด้วยหรือไม่
• ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงาน (Digital First Mindset)
Gen Z เชี่ยวชาญเทคโนโลยี พวกเขาจึงมีความคาดหวังว่า องค์กรที่พวกเขาทำงานด้วยควรมีระบบการทำงานที่ทันสมัย ทันโลก และไม่ทำให้เสียเวลาไปกับเครื่องมือที่ล้าสมัยหรือไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบที่โหลดช้า ใช้ยาก ต้องพึ่งพาเอกสารจำนวนมาก หรือขั้นตอนที่ไม่อัตโนมัติ ดังนั้นการเลือกใช้ซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการทำงานจึงตอบโจทย์คนรุ่นนี้มากกว่า
หากเจ้าของธุรกิจสามารถเข้าใจความต้องการของ Gen Z และปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่จะสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าร่วมทีมได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน และพร้อมรับมือกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon