“ผมรู้สึกมีความหวังว่า อนาคตประเทศไทยอาจค่อย ๆ ดีขึ้น ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ ปฏิรูปประเทศ ถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต ประเทศไทยไม่ไปไหนหรอก” ดร.นิเวศน์ กล่าวในรายการ Talk ลงทุนแมนล่าสุด

“ผมรู้สึกมีความหวังว่า อนาคตประเทศไทยอาจค่อย ๆ ดีขึ้น ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ ปฏิรูปประเทศ ถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต ประเทศไทยไม่ไปไหนหรอก” ดร.นิเวศน์ กล่าวในรายการ Talk ลงทุนแมนล่าสุด

“ผมรู้สึกมีความหวังว่า อนาคตประเทศไทยอาจค่อย ๆ ดีขึ้น ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ ปฏิรูปประเทศ ถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต ประเทศไทยไม่ไปไหนหรอก” ดร.นิเวศน์ กล่าวในรายการ Talk ลงทุนแมนล่าสุด
ไทยปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19% ใครได้-เสีย บ้าง ? /โดย ลงทุนแมน
ในมุมมองของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, ต้นแบบนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
และ ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์, รองประธานกรรมการหอการค้าไทย, นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย
จากสถานการณ์ล่าสุด เกี่ยวกับการเก็บภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา ต่อประเทศไทย ซึ่งไทยได้รับอัตราภาษีที่ 19% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม
และอัตรานี้เท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา
ขณะที่เวียดนามได้ 20%
ตัวเลข 19% นี้ถือว่าดีกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ในตอนแรกที่ 20-25%

โดยการประกาศอัตราภาษีนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
สหราชอาณาจักร ได้ต่ำสุดที่ 10% แลกกับการเจรจาการค้าที่ยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรและลดภาษีสินค้าต่างๆ ให้สหรัฐฯ
ยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ 15% โดยแลกเปลี่ยนกับการลงทุนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ และการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่ 0% ในหลายรายการ
บราซิลก็โดนหนักถึง 50% เนื่องจากไม่ได้เป็นมิตรกับสหรัฐฯ และอินเดียก็โดน 25% เพราะซื้ออาวุธและพลังงานจากรัสเซีย
ส่วนจีนอยู่ระหว่างการเจรจา มีเส้นตาย 12 สิงหาคม และตัวเลขโดยรวมอาจอยู่ที่ประมาณ 50% บวก/ลบ โดยมีหลายชั้นของภาษี
สำหรับเหตุผล และข้อแลกเปลี่ยน ที่ไทยให้สหรัฐฯ ในมุมมอง ดร. ชนินทร์ วีระพงษ์ รอองประธานกรรมการหอการค้าไทย และหนึ่งในทีม Direct Advisor ที่ปรึกษาทีมไทย
ดร. ชนินทร์ ได้วิเคราะห์ถึงข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยต้องให้สหรัฐฯ ซึ่งหัวหน้าทีมไทยแลนด์ (คุณพิชัย) ได้หารือกับภาคเอกชนมาตลอด
โจทย์หลักคือการ “ลดการเกินดุลการค้า” ของไทยกับสหรัฐฯ ที่ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมี 4 ข้อหลักที่ไทยเสนอเพื่อลดการเกินดุล
1. การแก้ไขปัญหาการสวมสิทธิ์ (Transshipment)
เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เอกชนไทย (SMEs) เป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อย่างแท้จริง ไม่ใช่การนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นมาสวมสิทธิ์
การแก้ไขปัญหานี้สามารถลดการเกินดุลได้ประมาณ 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. การนำเข้าพลังงาน (Energy Sector)
ไทยจะเพิ่มการนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ ซึ่งมีราคาถูกที่สุดในโลก คาดว่าจะซื้อเพิ่มได้เกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร. ชนินทร์ ยังวิจารณ์ว่า นโยบายสาธารณะหลายอย่างในประเทศ เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันและลดต้นทุน
3. บริการดิจิทัล (Digital Service)
สหรัฐฯ ได้ดุลจากไทยอยู่แล้วประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2024 และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีหน้า
4. การเปิดตลาดสินค้าเกษตรและอาหาร
ไทยต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เกือบทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รวมทั้ง 4 ข้อหลักนี้ จะช่วยลดการเกินดุลได้ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร. ชนินทร์มองว่านี่คือสถานการณ์ "Win-Win" ของทั้งไทยและสหรัฐฯ
และเป็นโอกาสสำคัญที่ไทย จะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการเปิดเสรีและแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นตัวถ่วง
การทำข้อตกลงนี้ จะช่วยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร
ส่วนประเด็นเรื่องการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศไทย ไม่มีอยู่ใน MOU 100% เพราะทุกอย่างต้องเปิดเผยและผ่านสภา
การเจรจาครั้งนี้เป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ไม่ใช่จุดสิ้นสุด และต้องมีการเจรจากับทีม USTR ต่อไป
สำหรับมุมมองของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต่อข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ
ดร. นิเวศน์ ได้แสดงความหวังต่ออนาคตของไทย
ในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ดร. นิเวศน์ชี้ให้เห็นว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ไม่ได้มองแค่เรื่องการค้า แต่รวมถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และพันธมิตร
ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ จะได้รับอัตราภาษีที่ดีกว่า
ซึ่งประเทศไทย ได้ "สองเด้ง" ทั้ง
1. การป้องกันความขัดแย้ง
ดร. นิเวศน์มองว่า การเจรจาครั้งนี้ ช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และเปลี่ยน "สนามรบให้เป็นสนามการค้า" ซึ่งเป็นสิ่งดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
2. อัตราภาษี 19%
เป็นความโล่งใจที่ช่วยหลีกเลี่ยงอัตรา 36% ที่อาจทำให้ตลาดและเศรษฐกิจพัง
ดร. นิเวศน์เน้นย้ำว่า ไทยต้องฉวยโอกาสนี้ในการ “ปฏิรูปประเทศ” โดยเฉพาะการเลิกความคิดเรื่อง "การรบ" และหันมาสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแทน
และนี่อาจเป็น "จุดต่ำสุด (bottom)" ของตลาดหุ้นไทย และถ้ามีการปฏิรูปจริง เงินลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศ จะกลับมา
แต่รัฐบาลต้องมีความกล้าหาญในการปฏิรูป แม้จะเจอการต่อต้าน
ต้องยึดจังหวะตรงนี้ เปลี่ยนประเทศไทยแล้ว
เราอย่าไปคิดว่า ต้องเลี้ยงหมู เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกร
ถ้าประเทศไทยไม่เลี้ยงหมูเอง เราจะอยู่ไม่ได้เลยหรือ ?
ประเทศทั่วโลกจำนวนมาก เขาก็เลี้ยงพอ พออยู่พอกิน ไม่จำเป็นต้องส่งออกอะไรต่าง ๆ หรือถ้าจำเป็น ก็นำเข้าแทน
“แล้วถ้าจะเลี้ยงหมูตลอดชีวิต บางทีประเทศไทย มันไม่ไปไหนหรอก”
โลกสมัยใหม่มันต้องแลกเปลี่ยน เราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเอง แต่ว่าต้องทำสิ่งที่มันมีค่า
อย่างเรื่องหุ้น ถ้าบริษัทต่าง ๆ ยังทำธุรกิจอย่างเดิม ขายของแบบเดิม ๆ บางที 10 ปียังไม่ไปไหน
แล้วข้อตกลงของไทย กับ เวียดนาม ต่างกันแค่ไหน ?
ดร. ชนินทร์ บอกว่า เวียดนามมีเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงกว่าไทยมาก (120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไทย 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และถูกสหรัฐฯ มองว่าเป็น "บริวารจีน" (Chinese satellite)
เวียดนาม มีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ์สินค้าที่ไม่ใช่ Local Content มาจากจีนหรือต่างประเทศสูงมาก ในขณะที่ไทยมีปัญหาการสวมสิทธิ์น้อยกว่า (10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะได้อัตราภาษีดีกว่า แต่ ดร. นิเวศน์ยังเชื่อว่า เวียดนามยังคงเป็น "ซูเปอร์สตาร์" เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าในด้านประชากร, ประสิทธิภาพรัฐบาล และความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยเสียเปรียบ และแก้ไขยาก
ในเรื่องของการปฏิรูปและโอกาสในอนาคตของประเทศไทยนั้น
ทั้งสองท่านเห็นพ้องต้องกันว่า ไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดกฎระเบียบ (Deregulation), การนำระบบดิจิทัลมาใช้ (Digitalization), การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และการปฏิรูปการศึกษา
ดร. ชนินทร์เน้นย้ำว่า กฎระเบียบและนโยบายสาธารณะบางอย่าง โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นตัวถ่วงความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างมาก
รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูปภาครัฐ, ลดกฎระเบียบ และเร่งการสร้างนวัตกรรม
ควรใช้แนวคิด "Regulatory Guillotine" ซึ่งหมายถึงการใช้เครื่องมือในการผ่าตัดกฎหมายจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ (เป็นแสนฉบับ) ให้เหลือเพียง 30% หรือตัดออกไป 70%
และไม่ควรให้นักกฎหมาย ข้าราชการ หรือนักการเมือง เป็นผู้ตัดกฎหมาย เพราะคนเหล่านี้มักจะสร้างกฎหมายเพื่อสร้างอาณาจักรและอำนาจของตนเอง
แต่ควรใช้คนกลางหรือนักวิชาการ ที่เห็นว่าควรมีการปฏิรูป เป็นผู้ดำเนินการ
- การคอร์รัปชันที่สูง และความสามารถในการแข่งขันต่ำ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อ GDP ที่ไม่เติบโต การลดคอร์รัปชันจะดึงดูดเงินลงทุนมหาศาล
- นโยบายเกษตรกรรม ในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบโควต้าหมู ที่ทำให้เกษตรกรลดลง และการนำเข้าข้าวโพดที่ส่งผลต่อปัญหามลพิษ
- รัฐบาลควรนำเงินอุดหนุนมาปรับปรุงโครงสร้างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แทนการ "เยียวยา"
- การศึกษา ควรส่งเสริมเด็กไทยให้เข้าศึกษาในสาขา STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และรวมการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาไว้ในกรอบการเจรจา FTA.
- ดึงดูด FDI โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง, การปราบปรามคอร์รัปชัน และความมั่นคงทางการเมือง เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
- ทั้งสองท่านเรียกร้องให้มี "ทีมไทยแลนด์" ที่มีความกล้าหาญในการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังในทุกภาคส่วน แม้จะต้องเผชิญกับการต่อต้าน
- รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายการส่งออก ไม่ให้ต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาทในปีนี้ และเติบโต 7% ต่อปีในปีหน้า
- กลไกตลาดจะปรับตัวเข้ากับอัตราภาษีใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหรัฐฯ ที่มีกำลังซื้อสูง ภาคเอกชนไทยต้องปรับตัว เพิ่ม Productivity และลดต้นทุน
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าอัตราภาษี 19% จะเป็น "Great Deal" สำหรับไทย แต่การได้เปรียบในระยะยาว จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศไทย ใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ในทุกมิติ ทั้งจากภายในประเทศ และการสานต่อการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon