สรุปรถไฟฟ้าที่จีน ทำไมถึงมีราคาถูก ค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาท

สรุปรถไฟฟ้าที่จีน ทำไมถึงมีราคาถูก ค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาท

สรุปรถไฟฟ้าที่จีน ทำไมถึงมีราคาถูก ค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาท /โดย ลงทุนแมน
จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจากรัฐบาล แม้จะลดค่าครองชีพของประชาชน
แต่ก็มีคำถามตามมาว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายนั้น
รัฐบาลต้องแบกภาระโดยเอาเงินภาษีไปชดเชย ให้กับบริษัทผู้รับสัมปทานเดินรถไฟฟ้ามากแค่ไหน
แต่ก็มีกรณีศึกษาหนึ่ง ที่ทำให้รถไฟฟ้ามีค่าโดยสารราคาถูก ในระดับไม่ถึง 20 บาท
นั่นก็คือ ระบบรถไฟฟ้าของมหานครในประเทศจีน อย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกว่างโจว
แล้วทำไมระบบรถไฟฟ้าของประเทศจีน ถึงทำให้ราคาค่าโดยสารราคาถูกนั้น กลายเป็นจริงได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ระบบขนส่งสาธารณะของจีน ได้รับการวางแผนและพัฒนาอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศ
ซึ่งเมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองแรกของจีน ที่ได้พัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยรถไฟฟ้าสายแรกของเมืองเซี่ยงไฮ้ สร้างเสร็จแล้วเปิดให้บริการเมื่อปี 1993
ซึ่งก็เป็นช่วงเวลา ก่อนที่รถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทย อย่าง BTS สายสีเขียว เปิดเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น
ในเวลาต่อมา เมืองใหญ่หลายเมืองในประเทศจีน อย่าง ปักกิ่ง กว่างโจว และหางโจว ก็กำหนด Master Plan หรือแผนแม่บทระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน หลายเมืองด้วยกัน
ต่อมาช่วงทศวรรษ 2000s จีนแผ่นดินใหญ่ ก็พยายามพิสูจน์ตัวเองว่า จะเป็นมหาอำนาจของโลกในด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
ซึ่งระบบขนส่งมวลชนที่ดี ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่พิสูจน์ ความเป็นมหาอำนาจโลก เฉกเช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นได้ทำให้เห็น ตั้งแต่เมื่อสมัยทศวรรษ 1960s
โดยช่วงนี้จีนก็ได้จัดมหกรรมระดับโลกต่าง ๆ มากมายหลายเมือง
และเป็นช่วงที่ระบบรถไฟฟ้า เสร็จไปแล้วหลายสาย อย่าง
- กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน มีรถไฟฟ้าใต้ดิน 8 สาย ระยะทาง 200 กิโลเมตร ให้เปิดใช้ภายในปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก
- เมืองเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ที่สุดของประเทศจีน มีรถไฟฟ้าใต้ดิน 11 สาย ระยะทาง 400 กิโลเมตร ให้เปิดใช้ภายในปี 2010 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo
- เมืองกว่างโจว เมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง มีรถไฟฟ้าใต้ดิน 8 สาย ระยะทาง 236 กิโลเมตร ให้เปิดใช้ภายในปี 2011 ที่เมืองกว่างโจว เป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชียนเกมส์
เวลาต่อมา ปี 2010-2020 ซึ่งผ่านไปเพียงแค่ 10-15 ปี
เมืองใหญ่เทียร์รองลงมาหลายเมืองของจีน อย่าง เซินเจิ้น เฉิงตู ฉงชิ่ง อู่ฮั่น หนานจิง ซีอาน หรือหางโจว ก็ได้พัฒนาระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของตัวเองอย่างรวดเร็ว จนมีมากกว่า 10 เส้นทาง
ยกตัวอย่างเมืองหางโจว ที่เพิ่งมีระบบรถไฟฟ้าสายแรก เมื่อปี 2012 หรือเป็นเวลาเพียง 13 ปีเท่านั้น
แต่ในปัจจุบัน เมืองหางโจวก็มีรถไฟฟ้ามากถึง 12 สาย ด้วยระยะทางกว่า 516 กิโลเมตร
และรถไฟฟ้าของเมืองต่าง ๆ ในประเทศจีน ก็ไม่ได้ทำเพียงแค่ออกแบบมา ให้คนเมืองใช้อย่างทั่วถึงเท่านั้น
แต่ยังออกแบบมา ให้คนเมืองใช้ในราคาถูกมาก ๆ อีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
ระบบรถไฟฟ้า Beijing Metro ของเมืองปักกิ่ง
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทางน้อยกว่า 6 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 14 บาท
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทาง 100 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 45 บาท
โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งหมด 29 สาย 523 สถานี
ระบบรถไฟฟ้า Shanghai Metro ของเมืองเซี่ยงไฮ้
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทางน้อยกว่า 6 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 14 บาท
- และค่าโดยสารก็จะเพิ่มขึ้น 4.5 บาท ทุก ๆ ระยะทาง 10 กิโลเมตร
- ค่าโดยสารราคาแพงสุดจะอยู่ที่ 28 บาท
โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งหมด 19 สาย 508 สถานี
ระบบรถไฟฟ้า Guangzhou Metro ของเมืองกว่างโจว
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทาง 0-4 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 9 บาท
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทาง 4-12 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 14-18 บาท
- ถ้าเดินทางไปด้วยระยะทาง 12-24 กิโลเมตร ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 23-27 บาท
โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งหมด 19 สาย 381 สถานี
แล้วเพราะอะไรกัน ทำให้ระบบรถไฟฟ้าของประเทศจีน ถูกออกแบบมาให้มีราคาถูกขนาดนี้ เรามาดูกันทีละเหตุผล
1. รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละเมือง วาง Master Plan ของเส้นทางรถไฟฟ้าเองทั้งหมด
อย่างเช่น รัฐบาลท้องถิ่นเมืองกว่างโจว ก็จะพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าของเมืองกว่างโจวด้วยตัวเอง
หรือรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็จะพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าของเมืองเซี่ยงไฮ้ด้วยตัวเอง
โดยการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้า รัฐบาลท้องถิ่นได้จัดตั้งรัฐวิสาหกิจ
เพื่อดูแลการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้า และบริหารรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ
อย่าง รัฐบาลเมืองกว่างโจว ก็มี Guangzhou Metro Corporation
เป็นรัฐวิสาหกิจดูแลกิจการรถไฟฟ้าในเมืองกว่างโจว
ซึ่งรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ของประเทศจีน ก็มีสถานะคล้าย ๆ กับ บริษัท กรุงเทพธนาคม ของกรุงเทพมหานคร ที่คอยดูแลเรื่องบริการสาธารณะ และระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟฟ้า BTS
ที่สำคัญ ระบบรถไฟฟ้าของทุกเมืองในประเทศจีนเกือบทุกเส้นทาง จะไม่มีการให้สัมปทานกับบริษัทเดินรถอื่น ๆ
โดยจะบริหารระบบเดินรถไฟฟ้าด้วยตัวเอง สามารถกำหนดราคาเองได้ ไม่ต้องทำสัญญาระยะยาวกับเอกชน ในเรื่องของข้อตกลงค่าโดยสาร
ยกเว้น รถไฟฟ้าเพียงไม่กี่สายของเมืองใหญ่ ๆ ที่รัฐบาลท้องถิ่นจะมีเงื่อนไขพิเศษ คือยอมให้บริษัทเอกชนรายอื่น เข้ามาร่วมทุนก่อสร้างและบริหารรถไฟฟ้า เพื่อแลกกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยีการเดินรถไฟฟ้าให้กับรัฐบาล
ส่วนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการลงทุนก่อสร้าง และการดำเนินงานด้วยตัวเองนั้น ก็จะนำงบประมาณท้องถิ่น และงบประมาณของรัฐบาลกลางเข้ามาช่วยอุดหนุนด้วย
2. สามารถก่อสร้างได้ทีละมาก ๆ จนเกิด Economies of Scale
ในประเทศจีน ได้ออกแบบระบบรถไฟฟ้า ให้สามารถใช้วัสดุ และมาตรฐานการก่อสร้างในรูปแบบเดียวกันหลาย ๆ โครงการ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่างเช่น
- สามารถหล่อเสาตอม่อจากโรงงานได้ทีละมาก ๆ ไปสร้างเป็นระบบรถไฟฟ้าได้หลายโครงการ
- สามารถหล่อแผ่นคอนกรีต สำหรับทำอุโมงค์รถไฟฟ้าได้ในหลายเมือง
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็ทำให้การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของประเทศจีน เกิด Economies of Scale
ประกอบกับการมีองค์ความรู้ และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย จึงทำให้การก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของประเทศจีน สามารถทำออกมาได้เร็วและมีต้นทุนที่ถูก
ปัจจุบัน อ้างอิงจากธนาคารโลก
ต้นทุนค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินของประเทศจีน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อกิโลเมตร
ในขณะที่ ค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินของประเทศไทย
อย่างสายสีส้มตะวันตกช่วง ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-บางขุนนนท์
ซึ่งเป็นรูปแบบรถไฟฟ้าใต้ดิน 100 เปอร์เซ็นต์ จะมีค่าลงทุนก่อสร้าง 8,600 ล้านบาทต่อกิโลเมตร
3. มีซัปพลายเชนรถไฟที่แข็งแกร่ง
จีนพึ่งพาเทคโนโลยีระบบรถไฟฟ้า และผลิตรถไฟฟ้าจากประเทศตัวเองแทบทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตตู้โดยสาร อุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบอาณัติสัญญาณ ไปจนถึงชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง ๆ
โดยอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าของจีน จะมีบริษัทที่เป็นหัวเรือใหญ่อย่าง CRRC หรือ China Railway Rolling Stock Corporation เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศจีน ที่ดูแลด้านการผลิตรถไฟฟ้า และบำรุงรักษาอุปกรณ์รถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
บริษัทนี้ จะเป็นกระดูกสันหลังของโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับระบบรางในประเทศจีน หลายโครงการ อย่างเช่น ระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟระหว่างเมือง และรถไฟความเร็วสูง
รัฐวิสาหกิจ CRRC จะเป็นตัวกลางในการผลิตรถไฟฟ้า เพื่อส่งมอบให้กับผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนของเมืองต่าง ๆ โดยจะขายให้ผู้บริการเดินรถ ในราคาที่ถูกกว่าการนำเข้ารถไฟฟ้า และระบบการเดินรถจากต่างประเทศ
4. นำรูปแบบ TOD มาใช้
แน่นอนว่าธุรกิจเดินรถไฟฟ้า ที่เก็บค่าโดยสารถูก ๆ นั้น เมื่อลองหักลบกับต้นทุนค่าเดินรถไฟฟ้าแล้ว ก็จะมีอัตรากำไรไม่มาก หรือในบางครั้งก็อาจขาดทุนไปเลย
ดังนั้น ธุรกิจเดินรถไฟฟ้า จึงต้องมีโมเดลธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของคนในเมืองด้วย
โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องนั้น ก็จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับรูปแบบ TOD นั่นก็คือ การนำพื้นที่รอบ ๆ สถานีรถไฟฟ้า มาพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่า อย่างการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม การขายพื้นที่โฆษณา รวมถึงการนำพื้นที่รอบ ๆ สถานีปล่อยให้ร้านค้าเช่า
ซึ่งแน่นอนว่า ธุรกิจ TOD ที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินรถไฟฟ้านี้
ยิ่งพื้นที่ไหนมี Traffic หรือมีคนเดินผ่านไปมาเยอะมากเท่าไร พื้นที่นั้นก็สามารถเก็บค่าเช่าได้เยอะขึ้น
ในขณะที่ต้นทุน ในการบริหารจัดการพื้นที่เช่า อาคารสำนักงาน หรือโรงแรมโดยรอบนั้น ก็มีไม่มากนัก
จึงทำให้ค่าเช่าพื้นที่ในส่วนของ TOD นี้ มีอัตรากำไรที่สูง จนสามารถสร้างกระแสเงินสด เพื่อนำไปหมุนเวียนในธุรกิจเดินรถไฟฟ้าของเมืองได้นั่นเอง
นอกจากเรื่องรูปแบบของการดำเนินธุรกิจ ของรถไฟฟ้าในประเทศจีนแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รถไฟฟ้าในเมืองใหญ่ของจีน สามารถทำค่าโดยสารให้ถูกในระดับที่เดินทางมากกว่า 10 กิโลเมตร
หรือตีคร่าว ๆ คือเดินทางไม่ถึง 10 สถานี ก็จ่ายไม่ถึง 20 บาท
นั่นก็เพราะว่ามีฐานลูกค้าที่ใหญ่รองรับ โดยในเมืองใหญ่ ๆ หลายเมืองของจีน มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ยกตัวอย่างเช่น
- เมืองปักกิ่ง มีประชากร 21.9 ล้านคน
- เมืองเซี่ยงไฮ้ มีประชากร 24.9 ล้านคน
- เมืองกว่างโจว มีประชากร 18.7 ล้านคน
ซึ่งแน่นอนว่า ประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ก็ย่อมต้องใช้ระบบขนส่งมวลชนที่รวดเร็ว อย่างรถไฟฟ้าอยู่แล้ว
นอกจากความรวดเร็วแล้ว ระบบรถไฟฟ้าในประเทศจีน
ก็ยังตอบโจทย์ในเรื่องความสะดวกสบาย ของคนในเมืองด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- การออกแบบสถานีในเขตเมือง ให้สามารถเชื่อมต่อไปยังสายอื่น ๆ ได้ โดยไม่ต้องแตะบัตรเข้าออกหลาย ๆ ครั้ง
- สามารถเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่นได้สะดวก เช่น รถไฟความเร็วสูง รถบัสสาธารณะ
- มีรถไฟฟ้าหลายตู้ เพื่อขนส่งคนได้ครั้งละมาก ๆ
- มีระบบการจ่ายเงินที่ทันสมัย อย่างเช่น การจ่ายเงินด้วยระบบ Alipay ที่สามารถเอาสมาร์ตโฟนไปแตะได้เลย โดยไม่ต้องซื้อตั๋วที่เครื่องจำหน่ายตั๋ว
เหตุผลทั้งหมดนี้ ก็ช่วยให้คนจีนได้ใช้ระบบรถไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ และมีราคาถูก
อย่างไรก็ตาม แม้คนจีนที่อยู่ในเมืองใหญ่ จะได้ใช้รถไฟฟ้าราคาถูกในระดับ 10 สถานี ก็จ่ายไม่ถึง 20 บาท
แต่ก็ต้องบอกว่า ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าประจำเมืองต่าง ๆ ก็ยังประสบปัญหาขาดทุน
โดยในปี 2023 พบว่า บริษัทรถไฟฟ้าใต้ดิน 29 แห่งในเมืองต่าง ๆ ของจีน ยังประสบปัญหาขาดทุน
ในส่วนนี้ รัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลาง ก็ยังจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเพื่ออุดหนุน
อย่างรถไฟฟ้าเมืองปักกิ่ง หรือ Beijing Metro รัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น ยังต้องอัดฉีดเงินให้กับรัฐวิสาหกิจผู้เดินรถไฟฟ้าของ Beijing Metro มากกว่า 110,000 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายในการเดินรถไฟฟ้า และการบำรุงรักษา
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นโมเดลธุรกิจเดินรถไฟฟ้าของจีน ที่แทบทั้งหมดบริหารโดยรัฐวิสาหกิจผู้เดินรถ ที่สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารให้กับประชาชนคนทั่วไปได้
ด้วยการเดินทาง 10 สถานี หรือมากกว่า 10 กิโลเมตร ก็มีค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาท..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon