
โมเดลธุรกิจ Fonterra สหกรณ์นม 100,000 ล้าน ที่อยู่ในตลาดหุ้น
โมเดลธุรกิจ Fonterra สหกรณ์นม 100,000 ล้าน
ที่อยู่ในตลาดหุ้น /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงสหกรณ์ เราคงชินกับภาพเกษตรกรไทยรวมกลุ่มกัน และไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นได้
ที่อยู่ในตลาดหุ้น /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงสหกรณ์ เราคงชินกับภาพเกษตรกรไทยรวมกลุ่มกัน และไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับตลาดหุ้นได้
แต่เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับนิวซีแลนด์ ที่มีสหกรณ์นมที่ชื่อว่า Fonterra ซึ่งไม่ได้เป็นแค่สหกรณ์ทั่วไป แต่ยังเป็นบริษัทในตลาดหุ้นอีกด้วย
ทำไมสหกรณ์นี้ ถึงไปอยู่ในตลาดหุ้นได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จุดตั้งต้นของ Fonterra ก็คงต้องย้อนไปในปี 1871 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย เป็นปีที่นิวซีแลนด์เริ่มมีการจัดตั้งสหกรณ์แห่งแรกขึ้น
โดยแนวคิดของสหกรณ์ตอนนั้น เกิดจากกลุ่มเกษตรกรนิวซีแลนด์ ที่ต้องการสร้างโรงงานแปรรูปน้ำนมโค แต่ติดปัญหาว่า ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก
เกษตรกรนิวซีแลนด์ จึงเอาเงินของแต่ละคนมารวมกัน
แล้วก่อตั้งเป็นสหกรณ์ ที่มีโรงงานแปรรูปและผลิตน้ำนมส่วนกลางของทุกคน
แล้วก่อตั้งเป็นสหกรณ์ ที่มีโรงงานแปรรูปและผลิตน้ำนมส่วนกลางของทุกคน
และตั้งเงื่อนไขว่า จำนวนหุ้นที่เกษตรกรทุกคนจะได้ ขึ้นอยู่กับจำนวนผลผลิตน้ำนมดิบ ที่ส่งให้กับสหกรณ์
ด้วยโมเดลนี้ ทำให้นอกจากเกษตรกร จะได้เงินจากการขายผลผลิตแล้ว ยังได้เงินปันผลจากหุ้นกลับมาด้วย
ส่วนสหกรณ์ก็ได้วัตถุดิบ ไปแปรรูปขายต่อ เรียกได้ว่า Win-Win ทั้งสองฝ่าย
พอเป็นแบบนี้ สหกรณ์ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
เพียงแค่ 50 ปี ก็มีสหกรณ์ในประเทศมากถึง 600 แห่ง
เพียงแค่ 50 ปี ก็มีสหกรณ์ในประเทศมากถึง 600 แห่ง
แต่การมีสหกรณ์มากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะหลังจากที่นิวซีแลนด์ ลงนามเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก หรือ WTO
เพราะมีคู่แข่งผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศ เข้ามาแข่งขันมากขึ้น สหกรณ์ในประเทศนิวซีแลนด์ จึงเริ่มยุบรวมกัน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
จนสุดท้าย ก็เหลือสหกรณ์แค่ 3 แห่งในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ได้แก่ Fonterra, Tatua และ Westland ที่ปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดย Yili บริษัทนมจากจีน
ซึ่งปัจจุบัน Fonterra กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกนมรายใหญ่สุดของนิวซีแลนด์ ที่ครองตลาดกว่า 80% แถมยังมีรัฐบาลให้การสนับสนุนเต็มที่
แม้เหมือนจะผูกขาดตลาดนมนิวซีแลนด์ แต่ Fonterra ก็ยังใช้เงื่อนไขให้เกษตรกรได้หุ้น ตามผลผลิตน้ำนมดิบที่ส่งเข้ามาเหมือนเดิม
แต่เพิ่มเงื่อนไขว่า หากเกษตรกรไม่สามารถส่งนมได้ตามจำนวนเท่าเดิม ก็สามารถขายหุ้นให้สหกรณ์ แล้ว Fonterra จะรับซื้อหุ้นคืนไว้เอง
เงื่อนไขนี้ดีกับเกษตรกร เพราะเพิ่มความยืดหยุ่น แต่กลับทำร้าย Fonterra ในเวลาต่อมาเสียเอง เพราะเท่ากับว่า ต้องกันเงินสดบางส่วนไว้ซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก
แทนที่จะเอาเงินสด ไปลงทุนต่อยอด ขยายโรงงานหรือวิจัยพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ แต่กลับต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเสียเอง
นอกจากเรื่องการสำรองเงินเพื่อซื้อหุ้นแล้ว
ในบางครั้ง Fonterra ยังเผชิญปัญหาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน
ในบางครั้ง Fonterra ยังเผชิญปัญหาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน
ทำให้วัวผลิตนมได้น้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นมของ Fonterra ออกสู่ตลาดได้น้อยลงตามไปด้วย
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์นมของ Fonterra ออกสู่ตลาดได้น้อยลงตามไปด้วย
ในปี 2009 บอร์ดบริหารของ Fonterra จึงนัดพูดคุยกับเกษตรกร เพื่อหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น
และหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหาที่ออกมาคือ จะให้เกษตรกรสามารถถือหุ้นได้มากกว่า ผลผลิตน้ำนมที่ส่งเข้ามา
โดยตอนนี้ Fonterra กำหนดว่า เกษตรกร ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 1 หุ้น สำหรับน้ำนมดิบแข็งทุก 3 กิโลกรัม และถือมากสุดได้ 4 เท่าของผลผลิตที่ส่งเข้ามา
ซึ่งวิธีนี้เป็นการช่วยจูงใจเกษตรกร ให้ผลิตน้ำนมดิบออกมาให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยิ่งผลิตเยอะ ก็ขายผลผลิตได้มากขึ้น แถมยังมีสิทธิ์ได้หุ้นเพิ่มมากกว่าเดิม และได้เงินปันผลมากขึ้นตามไปด้วย
จึงช่วยให้ Fonterra กังวลน้อยลงว่า น้ำนมดิบที่ส่งเข้ามา จะพอกับการผลิตหรือไม่
แต่ยังเหลืออีกปัญหาที่ค้างคาอยู่ นั่นคือ เกษตรกรสามารถขายหุ้นคืนให้สหกรณ์ได้ ถ้าผลผลิตน้ำนมลดลง
สุดท้าย ก็เลยแก้ปัญหานี้ด้วยการตั้ง Fonterra Shareholders Market ซึ่งเป็นตลาดที่ให้เกษตรกร Fonterra ขายหุ้นระหว่างกันได้เอง
ทำให้ Fonterra ไม่ต้องรับภาระเองทั้งหมด ในการใช้เงินสดของตัวเอง รับซื้อหุ้นคืนจากเกษตรกรอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม Fonterra เอง ก็อยากระดมทุนเพิ่ม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ แต่ติดตรงปัญหาว่า เกษตรกรต่อต้าน เพราะกลัวเสียความเป็นเจ้าของไป
ในที่สุด บอร์ดบริหารของ Fonterra ก็คิดหาทางออก
ด้วยการจดทะเบียน Fonterra Shareholders Fund ในตลาดหุ้นนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย (ปัจจุบันอยู่ในชื่อ Fonterra Co-operative Group Limited)
ด้วยการจดทะเบียน Fonterra Shareholders Fund ในตลาดหุ้นนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย (ปัจจุบันอยู่ในชื่อ Fonterra Co-operative Group Limited)
เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุน ที่ไม่ใช่เกษตรกร สามารถลงทุนกับบริษัท ซึ่งได้รับเงินปันผลเหมือนกับกลุ่มเกษตรกร แต่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงโหวตอะไรเลย ทำให้กลุ่มเกษตรกรที่ถือหุ้น Fonterra อยู่ จะไม่สูญเสียอำนาจการตัดสินใจใด ๆ นั่นเอง
ส่วน Fonterra ก็ได้เงินระดมทุนเพิ่ม มาต่อยอดธุรกิจนมของตัวเอง เพื่อให้แข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
Fonterra มีรายได้ในปี 2024 ราว 730,000 ล้านบาท และมีกำไร ราว 36,000 ล้านบาท
(ปิดงบทุกวันที่ 31 กรกฎาคมของทุกปี)
(ปิดงบทุกวันที่ 31 กรกฎาคมของทุกปี)
และมีมูลค่าบริษัทตอนนี้อยู่ที่ 179,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับ CPF หรือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ธุรกิจเกษตรและอาหาร รายใหญ่ของประเทศไทย
ถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า Fonterra เป็นตัวอย่างธุรกิจที่ดี ในการเปิดโอกาสให้เกษตรกร ได้เป็นผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนผลผลิตที่ส่งเข้ามาขาย
แม้จะเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว แต่ก็ออกแบบกลไกให้เกษตรกรยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และยังกุมอำนาจการตัดสินใจ โดยที่นักลงทุนที่ไม่ใช่เกษตรกร ถือหุ้นได้แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง
เรียกได้ว่า เป็นวิธีที่น่าสนใจมาก และทำให้ Fonterra กลายเป็นธุรกิจในตลาดหุ้น แม้จะมีโมเดลเป็นสหกรณ์การเกษตรก็ตาม..