ESG Symposium 2025 ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญระดับโลก กับแนวทาง เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน

ESG Symposium 2025 ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญระดับโลก กับแนวทาง เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน

SCG x ลงทุนแมน
โลกการค้าในปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประเทศคู่ค้าหลักของไทยเริ่มออกมาตรการและกฎระเบียบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยตรง
Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่เริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026 จะทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกไปยุโรป เช่น เหล็ก, ปูนซีเมนต์, ปิโตรเคมี และอะลูมิเนียม ต้องเสียค่าธรรมเนียมคาร์บอนเพิ่มเติม หากกระบวนการผลิตยังปล่อยคาร์บอนสูง
นอกจากนี้ Supply Chain Due Diligence ของสหรัฐอเมริกาและยุโรปยังกำหนดให้บริษัทต้องตรวจสอบ Supply Chain ของตนเองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หากไม่ผ่านมาตรฐาน สินค้าไทยอาจถูกปฏิเสธการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่เหล่านี้
จะเห็นว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อม ไม่ได้แค่ส่งผลในรูปแบบของภัยพิบัติ หรือวิถีชีวิตของภาคประชาชนเท่านั้น
แต่ภาคเอกชน และภาครัฐของไทย ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน หากไม่เกิดการปรับตัวอย่างเร่งด่วน
และล่าสุด SCG จัดงาน ESG Symposium 2025 ภายใต้แนวคิด “Green Breakthrough Amid the Perfect Storm” กับแนวทาง “เร่งกรีน” สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เรา ให้ธุรกิจ ให้โลก “รอดไปด้วยกัน”
เวทีที่จะมาเปิดความคิดและแสดงวิสัยทัศน์ให้คนทั่วไปได้เห็นว่า ถึงตอนนี้โลกของเรากำลังเจอกับอะไร
โดยภายในงาน มีผู้นำและนักวิชาการระดับแนวหน้า เข้ามาร่วมแชร์มุมมองและแนวทางร่วมกันในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
ไม่ว่าจะเป็น
- คุณ David McLachlan-Karr ผู้อำนวยการภูมิภาค สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำเอเชียแปซิฟิก
- คุณ Koji Sato ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น
- ดร. Sai Ravela นักวิจัยหลัก สาขาวิทยาศาสตร์โลก ชั้นบรรยากาศและดาวเคราะห์ (EAPS) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT)
- คุณ Miho Mazereeuw ผู้อำนวยการ MIT Climate Mission และผู้อำนวยการ Urban Risk Lab จาก MIT
- ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ผู้นำในแต่ละภาคส่วน รวมถึงนักวิชาการระดับแนวหน้า มีมุมมองอย่างไร ต่อความเร่งด่วนและแนวทางในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจสีเขียว
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ได้ฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบที่เร่งด่วน ซึ่งธรรมชาติไม่รอเรา และส่งสัญญาณที่รุนแรงมากขึ้น แต่ที่สำคัญกว่าคือ มาตรฐานการค้าโลกก็ไม่รอเราเช่นกัน
โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวและแข่งขันในเวทีโลก การนำ ESG มาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำและเร่งด่วนอย่างมาก
นอกจากนี้ วิทยากรท่านอื่น ๆ ก็ได้แชร์เคสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งปัญหาที่เร่งด่วน ผลกระทบที่ตามมา รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหาและเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
โดยหากเริ่มจากการซูมเข้าไปดูผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหน่วยย่อยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ก็พบว่าสถานการณ์ยังน่ากังวลเช่นกัน
เพราะเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ยังคงมีลักษณะ “เศรษฐกิจสีน้ำตาล” ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิม และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)
SME จำนวนมากในอาเซียนมักเป็นการจ้างงานตนเอง มีรายได้ต่ำ และมีความปลอดภัยทางสังคมค่อนข้างต่ำ ทำให้ยากต่อการรับมือกับความเสี่ยงระยะยาว เช่น ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประชากรถึง 3 ใน 4 ส่วนอาศัยอยู่บริเวณชายทะเลและภาคเกษตร ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง การพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวก็ทำให้ได้รับผลกระทบเช่นกัน
โดยเฉพาะ SME ในไทยได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการผันผวนของบริบทโลก ทั้งภาวะเศรษฐกิจ การค้า และ “การตอบโต้ทางภาษี” (Reciprocal Tariffs)
องค์กรขนาดใหญ่ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจมักมี SME เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
การเดินหน้าสู่พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
หากไม่เร่งปรับตัว SME ของไทยจะเผชิญกับปัญหาที่ยากจะแก้ไข
ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐและเอกชนที่มีอำนาจ กำลังและความรู้ความสามารถ จึงจำเป็นต้องพัฒนา SME ให้เข้มแข็งและเติบโตไปพร้อมกัน
และเพื่อช่วย SME ให้ปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตามมาตรการสีเขียวสากล
โดยในปีที่ผ่านมา SCG มีหลากหลายโครงการและความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมเกิดขึ้นมากมาย เช่น
- โครงการ Saraburi Sandbox ที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้สระบุรีเป็นเมืองต้นแบบของสังคมคาร์บอนต่ำ ถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกในประเทศไทยและอาเซียนที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
- โปรแกรม Go Together โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพให้ SME กว่า 1,300 รายทั่วประเทศ ให้สามารถทำธุรกิจแบบ Low Carbon โดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
- โปรแกรม Net Zero Accelerator ที่ร่วมมือกับอีก 12 องค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ SME และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างแท้จริง
หรืออย่าง Toyota ที่มีแนวคิดในการพัฒนาและเปลี่ยนผ่านโดย “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ต้องคำนึงถึงความหลากหลายของแหล่งพลังงาน ความต้องการของลูกค้าในแต่ละตลาด และความเร็วในการเปลี่ยนผ่านที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
การสร้างทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะเข้าถึงโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
แล้วปัจจุบันเรามีเครื่องมืออะไรบ้าง ที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ?
การเปลี่ยนผ่านที่ใหญ่และเร่งด่วนแบบนี้ ต้องการความร่วมมืออย่างกว้างขวางจากทุกภาคส่วน โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ
1. การเงินสีเขียว (Green Finance)
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถือเป็น Keyman สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ก็มองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีนัยยะต่อความมั่นคงทางการเงิน
ธปท. จึงดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ในเชิงปฏิบัติ โดยไม่ให้ “ความสมบูรณ์แบบ” เข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่าน และให้การสนับสนุนในหลาย ๆ โครงการ เช่น
- สร้าง “Building Block” หรือมาตรฐานพื้นฐาน เช่น Taxonomy (การจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) และ Handbook เพื่อเป็นแนวทางให้กับสถาบันการเงินและภาคธุรกิจ
- มีโปรแกรมที่ทำงานร่วมกับธนาคารอีก 8 แห่ง เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจที่ “เป็นสีน้ำตาลมาก” นั้น “เป็นสีน้ำตาลน้อยลง” และ “เพิ่มเป็นสีเขียวมากขึ้น”
เช่น การทำงานร่วมกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยหาก Developer สามารถลด Carbon Footprint ได้ตามเป้าหมาย เช่น ใช้ซีเมนต์ที่ลด Carbon Footprint หรือติดตั้ง Solar Roof
Developer ก็จะได้รับ “ดาว” ซึ่งนำไปสู่การลดราคาหรือข้อเสนอทางการเงินที่ดีขึ้น เช่น ได้รับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง
2. เทคโนโลยีและนวัตกรรม
นอกจากแนวทางและความมุ่งมั่นแล้ว
ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยี ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่าน
เทคโนโลยีแห่งยุคอย่าง AI ก็ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้แล้วเช่นกัน เช่น AI ที่สามารถช่วยพยากรณ์ภัยพิบัติในอนาคตได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ทำให้การตัดสินใจรับมือภัยพิบัติและการปรับตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หรือแนวคิดใหม่ ๆ อย่างการออกแบบเมืองที่ปรับตัวได้ด้วยซอฟต์แวร์ และเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงและออกแบบเมืองให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติ รวมถึงการสร้างวัสดุก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น
ในภาคเอกชน ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
อย่างเช่นแนวทาง Multi-Pathway ของ Toyota ที่เชื่อว่าการลด CO2 ต้องการทางออกที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบบแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle) ของการปล่อยก๊าซ
โดยเริ่มจากการทำรถยนต์ Hybrid ซึ่งมียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วในไทย ก่อนจะพัฒนาประสิทธิภาพของรถยนต์ EV, แบตเตอรี่ และโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟฟ้า
หรือการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นกลางทางคาร์บอน เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวัตถุดิบสูง เป็นโอกาสสำคัญในการลด CO2 จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับเอกชนรายใหญ่ เช่น SCG และ CP Group ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งโลจิสติกส์ เพื่อลดการปล่อย CO2
จะเห็นว่า หากประเทศไทยยังต้องการรักษาความสามารถแข่งขันในเวทีโลก ที่มีเทรนด์หลักคือให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและลดความเสี่ยงจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
การเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก
แต่กำลังเป็น ทางรอดสำคัญของเศรษฐกิจไทย ในเวทีโลก..
Reference
- สัมมนา ESG Symposium 2025 ของ SCG
Tag: SCG

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon