สรุป กลยุทธ์เสริมพอร์ตลงทุน “หุ้นไทย ทองคำ ค่าเงิน” ด้วย TFEX จากงาน TFEX SNAPSHOT

สรุป กลยุทธ์เสริมพอร์ตลงทุน “หุ้นไทย ทองคำ ค่าเงิน” ด้วย TFEX จากงาน TFEX SNAPSHOT

สรุป กลยุทธ์เสริมพอร์ตลงทุน “หุ้นไทย ทองคำ ค่าเงิน” ด้วย TFEX จากงาน TFEX SNAPSHOT
ปีนี้ ตลาดหุ้นไทยผันผวน ทองคำ ALL-TIME HIGH
รวมถึงดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ต่อบาท มากสุดในรอบ 4 ปี
นักลงทุนทั้งในตลาดหุ้นไทย หุ้นนอก น่าจะได้เจอกับความผันผวนกันมาตลอดทั้งปี
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ในบ้านเรา มีเครื่องมือในตลาด TFEX ที่เราสามารถนำมาป้องกันความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้
เราจะนำมาปรับใช้ เสริมพอร์ตในมุมไหนได้บ้าง
นี่คือสรุปไอเดียการลงทุนจากงาน TFEX SNAPSHOT
แล้วมันมีกลยุทธ์อะไร น่าสนใจบ้าง ? เรามาดูกัน..
เริ่มกันที่ SESSION แรก
“กระจายสินทรัพย์และเสริมพอร์ตด้วย TFEX ฉบับลงทุนแมน”
- โดยคุณอัพ ธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTMH
ปีนี้ โลกการลงทุนมีความไม่แน่นอนสูงมากขึ้น
โดยเฉพาะช่วงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของคุณโดนัลด์ ทรัมป์
การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ จึงมีความสำคัญมากขึ้น
ถ้าถามว่าตอนนี้เงินลงทุน ของคนทั่วโลกอยู่ที่ไหน ?
ถ้าเราดูจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากสุดในโลก
ที่มีมูลค่ามากสุดในโลกจะเป็นทองคำ ตามด้วยหุ้นโลก เช่น Nvidia, Apple รวมไปถึงบิตคอยน์
หลายคนลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นนอก เราจะมีความเสี่ยงหลายอย่าง
เช่น ถ้าเราถือหุ้นนอก หรือหุ้นสหรัฐฯ เราก็จะมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
คุณอัพ ยกตัวอย่างพอร์ตจำลองง่าย ๆ เช่น
- หากเราลงทุนดัชนี S&P 500 ตั้งแต่ต้นปี
เราจะได้ผลตอบแทน 12%
- แต่หากว่าเรารวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
หากเราแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินไทย
เราจะเหลือผลตอบแทนราว 4% เท่านั้น
อย่างในกรณีนี้ หากเรามองไปข้างหน้าตั้งแต่ต้นปี ว่าคุณทรัมป์จะเข้ามาสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจ และดอลลาร์สหรัฐ เราก็อาจจะนำเครื่องมือใน TFEX เช่น
- Short USD Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
- Long Gold Futures เพื่อป้องกันเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
โดยไม่ต้องวางเงินเต็มจำนวน (Long เป็นการเก็งกำไรขาขึ้น และ Short เป็นการเก็งกำไรขาลง)
อย่างไรก็ตาม คุณอัพก็ย้ำว่าการใช้เครื่องมือ TFEX ก็ต้องมีหลักยึด สรุปเป็นข้อ ๆ ได้ว่า
1. ต้องใช้อย่างเหมาะสม ไม่ใช้เกินตัว
2. ใช้เพื่อประกันความเสี่ยง
3. ใช้เมื่อรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และมีแนวโน้มจะกระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเรา
4. โลกการลงทุนไม่แน่นอน การป้องกันความเสี่ยง อาจทำให้ขาดทุนได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม คุณอัพก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าการรู้จักเครื่องมือสำหรับการลงทุนเอาไว้ ย่อมดีกว่าเสมอ
การรู้เยอะกว่า ครบกว่า ก็เปรียบได้กับนักรบที่มีอาวุธครบมือ ซึ่งก็ย่อมดีกว่าไม่รู้เสมอ..
มาต่อกันที่ SESSION ถัดมา
“ทํากําไรตาม MOMENTUM ช่วงตลาดขาขึ้น-ขาลง”
- คุณจุติ เนื่องจำนงค์, Full-Time Trader ในตลาดหุ้นและ TFEX
- คุณอัครพงศ์ ขวงธนะชัย, Full-Time Trader เจ้าของเพจ Stock Manday
คุณจุติ ทำธุรกิจยางพาราซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์มาก่อนเลยมีความจำเป็นต้องใช้ Futures ยางพารา
คุณจุติ บอกว่าถ้าเป็นมือใหม่ในตลาด Futures แนะนำให้เริ่มจาก 1 สัญญาก่อน เพื่อวัดความสามารถ และทดลองกลยุทธ์การลงทุนของเรา หลังจากเจอวิธีที่เหมาะสมแล้ว ก็ค่อย ๆ ขยับขึ้นไป
สำหรับวิธีการเทรดของคุณจุติ จะดูจาก 4 ส่วนประกอบสำคัญ
- Price ราคา
- Volume ปริมาณ
- Time Frame ช่วงระยะเวลา
- Open Interest จำนวนสัญญาที่มีการเปิดสถานะค้างอยู่
โดยคุณจุติ เลือกใช้วิธีการดู “Volume” หรือปริมาณการซื้อ-ขาย
ของเทรนด์ขาขึ้น และขาลงปัจจุบัน เทียบกับในอดีต เพื่อนำไปทำนายอนาคต
บวกกับดู Risk Reward หรือการเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทน ควบคู่ความเสี่ยง เพื่อใช้ประเมินว่าเรามีโอกาสชนะเยอะขนาดไหน
ซึ่งคุณจุติก็ได้มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่ สรุปเป็นข้อ ๆ ได้แก่
1. ให้เริ่มต้นเทรดด้วยพอร์ตจำลองก่อน
2. ต้องมีวินัย และวัดผลลัพธ์การเทรดสม่ำเสมอ
3. เข้าใจใน Leverage และวาง Stop Loss
4. ทำความเข้าใจคำศัพท์ต่าง ๆ และเรียนรู้เครื่องมืออื่น ๆ อยู่เสมอ
มาต่อกันที่คุณแมน Stock Manday ในหัวข้อเดียวกัน
“ทํากําไรตาม MOMENTUM ช่วงตลาดขาขึ้น-ขาลง”
คุณแมนบอกว่าปกติ ตลาดหุ้นเล่นขึ้นได้อย่างเดียว แต่ TFEX สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 2 ทาง ทั้งขาขึ้น-ขาลง จะได้กำไรก็ต่อเมื่อเราเลือกถูกทาง
คุณแมนเล่าว่าผ่านประสบการณ์การเทรด การลงทุนมาแล้วแทบทุกรูปแบบ และสรุปได้ว่าสไตล์ที่ตนเองถนัด คือใช้ TFEX เพื่อมาเก็งกำไร และก็ได้มีกฎเหล็กอยู่ทั้งหมด 3 ข้อ
1. อย่าสวนเทรนด์
- เราต้องมองให้ออกว่าแนวโน้มหลักของสินทรัพย์ เป็นขาขึ้นหรือขาลง
2. เข้าในจุดที่ได้เปรียบ
คุณแมนย้ำว่าถึงแม้เรามองเทรนด์ออกแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะกระโดดเข้าไปในตลาดได้เลย
เราจำเป็นต้อง “ซื้อ” ในจุดที่ได้เปรียบด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ของจุดที่ได้เปรียบ เช่น
- เราเข้าซื้อในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
- ราคาที่เราจ่าย เป็นช่วงที่สินทรัพย์มีแรงเทขายเยอะ
- ระดับราคาของสินทรัพย์ ยังไม่หลุดจุดต่ำเดิม
3. ผิดทางต้อง CUT LOSS
จากกฎเหล็กของคุณแมน แม้ว่าเราจะทำตามได้ 2 ข้อแล้วคือ ไม่สวนเทรนด์ และเข้าในจุดที่ได้เปรียบ
แต่ก็จะมีบางครั้งที่มันผิดทาง ไม่มีอะไรถูกต้อง 100% เราจำเป็นจะต้องรักษาวินัย และ CUT LOSS ให้เป็น
สำหรับอินดิเคเตอร์หลักที่คุณแมนใช้ ชื่อว่า “Stochastic Oscillator”
อธิบายง่าย ๆ จะเป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ดูว่า ราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ อยู่ในช่วงที่ถูกซื้อมากเกินไป หรือถูกขายมากเกินไป ซึ่งเราก็สามารถนำมาใช้ดูควบคู่กับเทรนด์ และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อนำมาวางแผนการเทรด จุดเข้าซื้อ จุดขาย และจุด CUT LOSS
ทีนี้ ก็จะเป็น SESSION สุดท้าย
“โอกาสใช้ TFEX ช่วงหุ้นไทยผันผวน | บาทแข็ง | ทองคํา ALL-TIME HIGH”
- คุณมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย
- คุณกอล์ฟ ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร MTS Gold Group แม่ทองสุก
- คุณฝา ไชยวัฒน์ กนกคุณ Full-Time Trader มีประสบการณ์ทั้ง Futures & Options
เริ่มต้นจากตลาดหุ้นไทย ที่ถูกทุบรุนแรงตั้งแต่ต้นปีจนผลตอบแทนต่ำสุดในโลก ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยคุณมี่มองหุ้นไทยว่าถ้าไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์แบบตอนต้นปี เราน่าจะเห็นการลดสัดส่วนการลงทุนตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่ Valuation แพง มาสู่หุ้นไทย ซึ่งยังมีราคาถูก
คุณมี่มองว่าในวันนี้ตลาดหุ้นไทย มีเครื่องมือเยอะ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวิธีใช้งาน
แม้ว่าเราเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า เราก็สามารถใช้ TFEX เพื่อป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของเราได้
คุณมี่เล่าว่าบางครั้งไม่ว่าหุ้นจะดี จะมีคุณภาพขนาดไหน
แต่หากตลาดแย่ เราก็หลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงระบบที่เกิดขึ้นชั่วคราว ที่กระทบต่อพอร์ตการลงทุนของเราไม่ได้เหมือนกัน
ซึ่งในตลาดหุ้นไทย เราก็อาจจะมองไปที่การ Short SET50 Futures หรือการสร้างผลตอบแทนขาลง เพื่อประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนหุ้นไทยของเราได้ ในช่วงที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอนสูง
คุณมี่บอกว่าจริง ๆ แล้ว ขนาดคุณบัฟเฟตต์เอง ก็ไม่ได้แค่ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว แต่ก็ใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาเสริมพอร์ตการลงทุนด้วยเหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น คุณบัฟเฟตต์ได้ทำสัญญา Options เพื่อประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยมีเงื่อนไขอยู่ว่า
1. หากในปี 2571 ถ้า 4 ดัชนียักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่
- S&P 500 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
- FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน
- EURO 50 ตลาดหุ้นยุโรป
- NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ทั้งหมดนี้ มีมูลค่าเหลือศูนย์ เขาจะต้องเสียเงินมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท..
2. หากครบกำหนดแล้ว ดัชนีเหล่านี้ มูลค่าลดลงไป 25% จากราคาที่ทำสัญญา เขาจะต้องสูญเสียเงิน 2.9 แสนล้านบาท
แต่จากการทำเงื่อนไขแบบนี้ เขาจะได้พรีเมียมก้อนโตกลับมาทันทีในวันนี้ มูลค่าราว 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งเขาสามารถนำเงินนี้ไปลงทุนต่อได้เลย
ตีเล่น ๆ ไปว่าเขาได้ผลตอบแทน 7% ต่อปี ไปอีก 10 ปี เขาก็จะได้ผลตอบแทนราว 3.2 แสนล้านบาท
จากตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่าขนาดต้นตำรับการลงทุนเน้นคุณค่าระดับโลก ก็มีการใช้เครื่องมือ เพื่อเสริมพอร์ตเหมือนกัน
มาต่อกันที่สินทรัพย์ที่ร้อนแรงสุดในปีนี้ กับทองคำ ALL-TIME HIGH
คุณกอล์ฟ บอกว่าปีนี้ทองคำโลก ขึ้นมา 42.4% ถือเป็นปีที่ขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์
ในขณะที่ ทองคำไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 33.7% ต่ำกว่าทองคำโลก
ถ้าถามว่าเพราะอะไร ?
คำตอบก็เพราะว่าดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมาก เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ
โดยอ่อนค่าลงเทียบกับไทยบาทราว 6% ทองคำไทยจึงให้ผลตอบแทนต่ำกว่าทองคำโลก
ซึ่งในตลาด TFEX ก็มีผลิตภัณฑ์ Futures ที่อิงกับทั้งทองคำโลก และทองคำไทย
- Gold Futures อิงราคาซื้อขายทองคำในประเทศ
- Gold Online Futures อิงกับราคาซื้อขายดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งปัจจัยสำคัญ ๆ ที่ทำให้ทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ก็เพราะว่า
- มาตรการภาษีนำเข้า ของคุณทรัมป์
- FED ลดอัตราดอกเบี้ย หนุนแรงซื้อทองคำ
- แรงซื้อจากธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก
- ความตึงเครียดจากสงคราม ทองคำกลายเป็น Safe Haven
- De-Dollarization หลายประเทศชะลอการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐลง และสะสมทองคำมากขึ้น
โดยคุณกอล์ฟ มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางมากสุด และเป็นสินทรัพย์ที่โลกเชื่อมั่นว่าจะป้องกันเงินเฟ้อได้
จุดนี้เองก็ได้ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ทำ ALL-TIME HIGH ในปีนี้เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นแค่สินทรัพย์เดียว ที่ยังไม่ทำ ALL-TIME HIGH นั่นก็คือ Silver หรือ “เงิน”
สำหรับตลาด TFEX มีผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น Gold Futures, USD Futures ไปจนถึง Silver Futures
ซึ่งคุณกอล์ฟมองว่า Silver ยังคงมี Upside อยู่เมื่อเทียบกับสินค้าอื่น ๆ
ที่สำคัญคือ การลงทุน Silver Futures ใน TFEX เป็นการลงทุนเดียวที่นักลงทุนจะไม่โดน VAT 7% เหมือนการลงทุนในเงินแท่ง
ปิดท้ายกันที่ คุณฝา ที่มาเสริมเรื่อง “PORTFOLIO ALLOCATION”
คุณฝาเป็นนักลงทุนที่ลงทุนหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้นไทย หุ้นนอก ทองคำ รวมถึงใช้ Futures และ Options
โดยคุณฝาได้แชร์ไอเดียการแบ่งพอร์ตการลงทุนเป็น 3 ประเภท
- เงินสด
เป็นส่วนที่สำรองไว้ เป็นสภาพคล่องยามวิกฤติ
- Passive Investment
เพื่อรักษาความมั่งคั่ง เช่น หุ้นปันผล REITs และกองทุนดัชนี
- Active Investment
เทรดเพื่อเร่งผลตอบแทน ปั้นเงินต้นให้เติบโต
ในช่วงแรก คุณฝาเล่าว่าให้น้ำหนักกับการเทรดเป็นหลัก แต่พอมีเงินต้นในระดับหนึ่งแล้ว ก็นำไปรักษาความมั่งคั่งในหุ้นปันผลแทน จนปัจจุบันสัดส่วนใน Passive Investment เป็นสัดส่วนหลัก
ซึ่งค้นพบว่าเป็นวิธีที่สบายใจกว่าการเทหน้าตักในพอร์ตเทรด 100% จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนสายเก็งกำไรมา
นอกจากนั้น คุณฝาก็ได้ให้หลักคิดว่าในโลกการลงทุน
มันจะมี 3 สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
คือจะไม่มีการลงทุนไหน High Chances โอกาสสูง
High Win Rate อัตราชนะสูง
High Profit กำไรก้อนโต
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเจอการลงทุนที่อัตราชนะสูง และเกิดขึ้นบ่อย ๆ
เรามักจะได้กำไรก้อนเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่มาก
หรือถ้าเราเจอการลงทุนไหนที่มีโอกาสสร้างกำไรก้อนโต และมีอัตราชนะสูง นาน ๆ ทีเราจะเจอมัน ไม่ได้พบเห็นได้บ่อย ๆ ซึ่งคุณฝาแชร์ว่า อย่างมากเราจะเจอแค่ 2 ใน 3 ข้อเท่านั้น
อีกข้อคิดหนึ่งก็คือ การวางกลยุทธ์ตามแต่ละสินทรัพย์ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน หรือใช้ท่าลงทุนเดียวกันเสมอไป เช่น บางสินทรัพย์ในบางช่วงก็เหมาะกับการถือยาวตามเทรนด์ หรือบางสินทรัพย์ก็เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจริต ความถนัด และความเข้ามือของนักลงทุนแต่ละคนเหมือนกัน
สุดท้ายกับคุณกอล์ฟ ได้ฝากข้อคิดเกี่ยวกับ TFEX เอาไว้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจไม่ใช่สำหรับนักลงทุนทุกคน เพราะต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ และความรู้ความเข้าใจเรื่อง Money Management สูง
แต่หากเรามีความรู้ ความเข้าใจ และใช้อย่างเหมาะสม
TFEX ก็จะเป็นอีกเครื่องมือ ที่ช่วยเสริมพอร์ตการลงทุนให้เราได้ ไม่มากก็น้อย..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon