
แชร์ประสบการณ์เปลี่ยน “เงินน้อย” เป็น “กำไรก้อนใหญ่” ด้วย TFEX
การทำกำไรในตลาดหุ้นไทยตอนนี้เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายกว่ามาก
โดยเฉพาะคนที่มีฐานทุนน้อย ที่กว่าพอร์ตจะโตก็ใช้เวลานาน หรือหลายคนที่มีเงินสดในมือไม่เพียงพอ ก็ทำให้พลาดโอกาสทองทางการลงทุนได้เช่นกัน
ซึ่งคุณปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุนแถวหน้าของไทย
ได้มาแชร์ประสบการณ์ในการปั้นพอร์ต ที่เปลี่ยน “เงินน้อย” เป็น “กำไรก้อนใหญ่” และสร้างพอร์ตให้เติบโตได้ โดยอาศัยเครื่องมืออย่าง TFEX
ได้มาแชร์ประสบการณ์ในการปั้นพอร์ต ที่เปลี่ยน “เงินน้อย” เป็น “กำไรก้อนใหญ่” และสร้างพอร์ตให้เติบโตได้ โดยอาศัยเครื่องมืออย่าง TFEX
ในฐานะเทรดเดอร์อาชีพ คุณปุณยวีร์ ใช้ TFEX ในการปั้นพอร์ตอย่างไร ลงทุนแมนสรุปให้ในโพสต์นี้
จริง ๆ แล้วคุณปุณยวีร์ ได้ลงทุนมานานมากกว่า 10 ปี โดยยังคงเป็นเทรดเดอร์ และมีรายได้จากการเทรดเป็นหลัก
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นประมาณ 3 ปีที่แล้ว เมื่อคุณ ปุณยวีร์เริ่มเข้าสู่บทบาทอื่น เช่น การทำบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน และ Investment Holding Company (VC) รวมถึงการเปิดธุรกิจส่วนตัว
ทำให้จากมุมมองเดิมในการเป็น เทรดเดอร์ ที่เน้นสร้างการเติบโตของพอร์ตเป็นหลัก และเกิดกำไรหรือขาดทุนแต่ละครั้งค่อนข้างเยอะ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมุมมองใหม่ และมีการกระจายการลงทุนมากขึ้น
โดยคุณปุณยวีร์ได้ค้นพบปัญหาหลักของการเป็น Trader คือ
- พอร์ตแกว่งเป็นวัฏจักร (Cycle)
แม้พอร์ตจะโตขึ้น แต่ความผันผวนสูงมาก บางครั้งเจอพอร์ต Drawdown หรือติดลบค่อนข้างเยอะเมื่อผิดทาง
แม้พอร์ตจะโตขึ้น แต่ความผันผวนสูงมาก บางครั้งเจอพอร์ต Drawdown หรือติดลบค่อนข้างเยอะเมื่อผิดทาง
- ขาดกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ
แม้จะมีเงินเยอะขึ้น แต่กลับไม่กล้าซื้อทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้น เพราะไม่มั่นใจว่าจะมี กระแสเงินสด (Cash Flow) ที่สม่ำเสมอในการผ่อนชำระในอนาคตหรือไม่
แม้จะมีเงินเยอะขึ้น แต่กลับไม่กล้าซื้อทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้น เพราะไม่มั่นใจว่าจะมี กระแสเงินสด (Cash Flow) ที่สม่ำเสมอในการผ่อนชำระในอนาคตหรือไม่
- ความสำคัญของการรักษามูลค่า
เมื่อพอร์ตโตขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง (เช่น 30 - 40 ล้านบาท) สิ่งที่สำคัญกว่าการตั้งเป้าไปที่ 100 ล้านบาท คือการ ไม่กลับมาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งการ "รักษาความมั่งคั่ง" เป็นศาสตร์ที่สำคัญมากที่หลายคนมองข้าม
เมื่อพอร์ตโตขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง (เช่น 30 - 40 ล้านบาท) สิ่งที่สำคัญกว่าการตั้งเป้าไปที่ 100 ล้านบาท คือการ ไม่กลับมาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งการ "รักษาความมั่งคั่ง" เป็นศาสตร์ที่สำคัญมากที่หลายคนมองข้าม
ปัจจุบัน กลยุทธ์การลงทุน จึงถูกปรับเปลี่ยนและสร้างความสมดุล (Balance) ระหว่างการ "สร้าง" (Build) ความมั่งคั่งให้เติบโต กับการ "รักษา" (Maintain) ความมั่งคั่ง ไม่ให้สูญหาย
ทั้งจากการกระจายความเสี่ยง โดยกำไรจากการเทรดจะถูกถอนออกมาบางส่วนเพื่อใส่ในสินทรัพย์ที่สามารถ สร้างกระแสเงินสด ให้กับพอร์ตรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี
รวมถึงการลดการพึ่งพาทักษะตัวเอง จากที่ในอดีตเน้นหา Cash Flow จากทักษะตัวเองเป็นหลัก
แปลว่าถ้าหยุดเทรดก็ไม่มีรายได้ แต่ปัจจุบันมุ่งเน้นการใช้ Asset เช่น หุ้นปันผล หรือลงทุนในบางธุรกิจ เพื่อสร้าง Cash Flow
ซึ่งคุณปุณยวีร์ เรียกว่านี่คือ ศาสตร์แห่งความช้า ซึ่งต้องใช้ความพยายามสูงมากในการสร้าง Asset ให้ทำเงินได้เท่ากับการเทรด
อย่างไรก็ตาม การจะปั้นให้พอร์ตโตมากพอที่จะจ่ายเงินปันผลได้ถึงระดับที่ต้องการก็ถือเป็นอีกโจทย์ที่ท้าทาย
จุดนี้เองที่ Futures กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ช่วยให้เราสร้างเงินต้นก้อนโตได้ ซึ่งเป็นกระดุมเม็ดแรกที่คุณ ปุณยวีร์ให้ความสำคัญมากเช่นกัน
คุณปุณยวีร์ เปรียบ TFEX เหมือนเราไปยืม Leverage ของตลาด ซึ่งถ้าถูกทางก็จะพาเราไปถึงจุดที่เงินต้นใหญ่ขึ้นได้
สิ่งสำคัญคือ เมื่อถึงจุดที่ต้องการแล้ว ก็ต้องพยายามเบรกตัวเองให้เป็น แล้วปรับกลยุทธ์มาเป็นการรักษา Wealth ที่มีนั่นเอง
โดยแนวทางการใช้ Futures ขึ้นอยู่กับ Stage ของการลงทุน
ถ้าอยู่ในช่วงที่กำลัง Build Wealth ก็ให้ใช้ Leverage ของ Futures ในการสร้างฐานทุน
และต่อมาเมื่อถึง Stage ที่ 2 หรือก็คือการ Maintain Wealth ก็ให้ปรับกลยุทธ์เป็นการใช้ Futures เพื่อสร้าง Cash Flow แทน
โดยสไตล์การเทรดปัจจุบันของคุณปุณยวีร์ อาจไม่ใช่ Pattern ที่ดีที่สุด แต่เป็น Pattern ที่ถูกหล่อหลอมมาจากความผิดพลาดในอดีตที่เราต้องเรียนรู้มาเรื่อย ๆ และความผิดพลาดเหล่านั้น อาจเป็น "ความผิดพลาดร่วมกัน" ที่พบเจอได้ทั่วไปในวงการเทรดเดอร์ ซึ่งสรุปได้ 3 เรื่อง คือ
1. กับดักอีโก้
เมื่อได้กำไรเยอะ อีโก้จะสูงขึ้น และใส่เงินลงทุนใน Position ที่ใหญ่ขึ้น เมื่อคิดว่าถูกทาง
เมื่อได้กำไรเยอะ อีโก้จะสูงขึ้น และใส่เงินลงทุนใน Position ที่ใหญ่ขึ้น เมื่อคิดว่าถูกทาง
แต่ประเด็นคือ เมื่อผิดทาง แล้วฝืน หรือไม่ยอม Cut Loss ความเสียหายก็จะทวีคูณเพราะเป็นผลมาจากการอัดเงินทุนเพิ่มเข้าไป
แนวทางแก้ไขคือ ถ้าเทรดผิดทาง ต้องยอมเสียหายเต็มที่
แค่ทุน หรือยอม Cut Loss ที่ทุนอย่างมีวินัย เพื่อรักษาเงินหน้าตักไม่ให้น้อยลงและต้องระลึกเสมอว่าความสำเร็จไม่แน่นอน อาจมีความ "ดวงดี" ปะปนอยู่ด้วย
แค่ทุน หรือยอม Cut Loss ที่ทุนอย่างมีวินัย เพื่อรักษาเงินหน้าตักไม่ให้น้อยลงและต้องระลึกเสมอว่าความสำเร็จไม่แน่นอน อาจมีความ "ดวงดี" ปะปนอยู่ด้วย
2. กับดักตลาด Sideway
แม้จะมีวินัยและ Stop Loss ทุกครั้ง แต่กลับโดนทดสอบด้วยตลาด Sideway โดยเฉพาะเมื่อเผื่อจุดความเสี่ยงไว้น้อยทำให้ต้อง Cut Loss ไปมาตลอด จนทำให้พอร์ตมีปัญหา และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในวินัยการเทรดที่สร้างมา
แม้จะมีวินัยและ Stop Loss ทุกครั้ง แต่กลับโดนทดสอบด้วยตลาด Sideway โดยเฉพาะเมื่อเผื่อจุดความเสี่ยงไว้น้อยทำให้ต้อง Cut Loss ไปมาตลอด จนทำให้พอร์ตมีปัญหา และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในวินัยการเทรดที่สร้างมา
แนวทางแก้ไข คือ การเผื่อความเสี่ยงและเงินให้เพียงพอสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์และภาวะตลาดในแต่ละช่วง อย่างตลาด Futures ที่มีความผันผวนสูง และเป็นการใช้ Leverage ในการเทรด ก็ต้องเผื่อจุดความเสี่ยงและเงินทุนให้มากกว่าการเทรดหุ้นธรรมดาทั่ว ๆ ไป
3.กับดักอารมณ์
คือการที่มีความรู้สึกตามมาจากการเทรดรอบก่อนหน้า ซึ่งถ้าเทรดเสียติดกัน ก็จะเริ่มกลัวและเทรดน้อยลง แต่ถ้าถูกทางต่อเนื่อง ก็อาจจะเทรดหนักขึ้น
คือการที่มีความรู้สึกตามมาจากการเทรดรอบก่อนหน้า ซึ่งถ้าเทรดเสียติดกัน ก็จะเริ่มกลัวและเทรดน้อยลง แต่ถ้าถูกทางต่อเนื่อง ก็อาจจะเทรดหนักขึ้น
แนวทางแก้ไขคือ เอาใจออกมา จากการเทรด เมื่อถูกทางก็อย่าเพิ่งดีใจ หรือมั่นใจเกินไป และเมื่อผิดทางก็ต้องควบคุมอารมณ์ และทบทวนเหตุการณ์และกลยุทธ์ที่ใช้อย่างใจเย็น
ซึ่งสำหรับคุณปุณยวีร์ สินค้าทางการเงินเป็นเครื่องมือที่เล่นกับเงิน
ส่วนเงินหรือกำไร คือสิ่งที่เล่นกับส่วนที่สกปรกของใจคน
ถ้าเราผ่านไปได้ เราจะเก่งขึ้นในการใช้ชีวิต
ถ้าเราผ่านไปได้ เราจะเก่งขึ้นในการใช้ชีวิต
นอกจากนี้คุณปุณยวีร์ ยังให้ความสำคัญกับศาสตร์ในการเลือกสนาม หรือก็คือตลาดในการลงทุนอย่างมาก
โดยตลาดหุ้นไทยเป็นสนามแห่งการ "สร้างกระแสเงินสด" (หรือเรียกว่า Beta)
แต่ตลาดไทยมีข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ เช่น หนี้ครัวเรือนสูง และขาดการกระตุ้นจากภาครัฐที่ถูกทาง ทำให้โตยาก หรือยากที่จะไปสู่การเป็น Growth Stage
ส่งผลให้การเทรดในตลาดหุ้นไทยมักจะเป็นแบบ Sideway วิธีการคือต้องเล่นในกรอบ และเน้นหุ้นปันผล
รวมถึงเครื่องมืออย่าง Futures และ Options ก็เหมาะสำหรับการเก็งกำไรในกรอบ เพื่อสร้างกระแสเงินสด จากความผันผวน
ส่วนตลาดต่างประเทศในช่วงนี้ เหมาะเป็นสนามแห่งการ "รันเทรนด์" (หรือเรียกว่า Alpha) เพราะตลาดยังมี Potential Upside สูง
ดังนั้น จึงเกิดเป็นส่วนผสมการเทรด คือ การสร้างกระแสเงินสด ออกมาเรื่อย ๆ จาก Beta แล้วนำเงินสดบางส่วน ไปต่อยอดการลงทุนใน Alpha
แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ ต้องเลือก Alpha ให้ถูกว่าตัวจะไหนเป็น Winner ของตลาด เพราะถ้าเลือกตลาดได้ถูก และบริหารความเสี่ยงได้ดีก็มีโอกาสกำไร
ซึ่งในมุมมองของคุณปุณยวีร์ ในวันนี้ Alpha ก็คือหุ้น Tech ที่อยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกานั่นเอง
ทั้งนี้ การใช้ Futures และ Options ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญและจำเป็นสำหรับ Full-Time Trader โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะใช้เพื่อ Build Wealth ได้
โดยสามารถใช้ Leverage ของสินค้ามาสร้างฐานทุน จากเงินลงทุนที่น้อยไปสู่เงินต้นก้อนใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว หรือใช้เพื่อ Maintain Wealth โดยใช้สร้าง Cash Flow จากการเล่นในกรอบได้
นอกจากนั้น ยังมีอีกหลากหลายสินทรัพย์ เช่น Gold Futures ใน TFEX ที่เป็นอีกเครื่องมือที่สามารถใช้สร้าง กำไรหรือกระจายความเสี่ยงได้ ซึ่งปัจจุบันก็เข้าถึงได้ง่าย
คุณปุณยวีร์ แนะนำว่าหากเรามองเทรนด์ของทองคำออกจริง ๆ ก็สามารถแบ่งพอร์ตการลงทุนมาลงใน Gold Futures หรือ Gold Online Futures ที่อ้างอิงราคาทองคำในตลาดโลก
ยกตัวอย่างคือ ถ้ามองเป็นเทรนด์ขาลง ก็สามารถเปิด Short เพื่อเก็งกำไรได้
หรือหากเทรดด้วยกลยุทธ์ Buy and Hedge ก็ต้องใช้วินัยที่สูงในการ Stop Loss และ บริหารความเสี่ยง
เพราะ Futures มีความเสี่ยงสูง เมื่อผิดทางอาจทำให้กำไรที่ปั้นมาทั้งเดือนหายไปได้ในคืนเดียว
หรืออีกสินทรัพย์ที่น่าสนใจ ก็คือการเทรดค่าเงิน ซึ่งโดยปกติแล้วค่าเงินบาทจะไม่ได้ผันผวนมาก เท่ากับสกุลเงินหลักอื่น ๆ เนื่องจากกรอบการเคลื่อนไหวค่อนข้างแคบ
การเก็งกำไรในค่าเงินบาท จึงมักเป็น Event Play เฉพาะจริง ๆ และไม่ค่อยเกิดเทรนด์ที่วิ่งแรงมากนัก
แต่ความผันผวนคือโอกาสสำหรับเทรดเดอร์และเป็นที่มาของกระแสเงินสด หากเทรดได้ถูกทาง
ซึ่งค่าเงินบาทสามารถ สร้างกระแสเงินสดได้เหมือนกัน แม้ว่ากรอบจะไม่กว้างมาก
จะเห็นว่าแม้ TFEX จะเป็นเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการเทรดหุ้นปกติ เพราะมี Leverage เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่คนที่มองเป็นโอกาสอย่างคุณปุณยวีร์ ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า หากเรามีความรู้ความเข้าใจในเครื่องมือ ตลาด และตัวเราเอง
ก็สามารถเปลี่ยนเงินทุนจำนวนน้อย
ให้กลายเป็น “กำไรก้อนใหญ่” ได้
ไม่ว่าสภาวะตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ตาม..
ให้กลายเป็น “กำไรก้อนใหญ่” ได้
ไม่ว่าสภาวะตลาดจะผันผวนแค่ไหนก็ตาม..