
ปกป้อง พอร์ตหุ้นคุณภาพ ด้วยประกันชั้นหนึ่งจาก TFEX
ปกป้อง พอร์ตหุ้นคุณภาพ ด้วยประกันชั้นหนึ่งจาก TFEX /โดย ลงทุนแมน
นักลงทุนไทยจํานวนไม่น้อย สะสมหุ้นคุณภาพไว้เต็มพอร์ต หุ้นเหล่านี้อาจเป็นบริษัทใหญ่ ที่เราคุ้นชื่อ ซึ่งมีโมเดลธุรกิจแข็งแรง รายได้มั่นคง และบางตัวก็มีการจ่ายปันผลที่น่าสนใจ
หลายคนเชื่อมั่นว่า การถือหุ้นเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ จะทําให้ผลตอบแทนในระยะยาวออกมาดี แต่ปัญหาก็คือ
ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นตลอดเวลา..
ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นตลอดเวลา..
ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือแม้แต่มีเหตุการณ์ต่างประเทศที่กดดันตลาดหุ้นไทย
ต่อให้หุ้นที่ถือจะเป็นหุ้นดีแค่ไหน ราคาก็ยังถูกลากลงตามแรงขายของตลาดโดยรวมอยู่ดี
ต่อให้หุ้นที่ถือจะเป็นหุ้นดีแค่ไหน ราคาก็ยังถูกลากลงตามแรงขายของตลาดโดยรวมอยู่ดี
ซึ่งเวลาที่พอร์ตลดลง มูลค่าเงินหายไปต่อหน้าต่อตา นักลงทุนย่อมรู้สึกไม่สบายใจ และถึงแม้จะบอกกับตัวเองว่า เป็นแค่เรื่องระยะสั้น แต่ใครจะไม่เสียดายเวลาที่เห็นตัวเลขในพอร์ตหายไป ?
คําถามคือ นักลงทุนจะทําอย่างไร เพื่อไม่ให้พอร์ตเสียหายในช่วงตลาดลง
หรือ ในสภาวะตลาดแบบนั้น จะหาโอกาสในการกําทําไรด้วย ได้หรือไม่ ?
หรือ ในสภาวะตลาดแบบนั้น จะหาโอกาสในการกําทําไรด้วย ได้หรือไม่ ?
หนึ่งในคําตอบคือ การใช้เครื่องมือจากตลาด TFEX หรือ Thailand Futures Exchange โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ไม่ว่าจะเป็น SET50 Futures หรือ SET50 Options ซึ่งสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันความเสียหายให้กับพอร์ตของเราได้
โดยดัชนี SET50 นั้นเป็นเหมือนตัวแทนที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ซึ่งคํานวณมาจากราคาหุ้นใหญ่ที่สุด 50 บริษัทของตลาด
การใช้ SET50 Futures ทําให้เราสามารถทํากําไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้น และตลาดขาลง
วิเคราะห์ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว
วิเคราะห์ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว
ถ้าเราคาดว่าตลาดจะขึ้น ก็เปิด Long Futures
แต่ถ้าเชื่อว่าตลาดจะลง ก็สามารถเปิด Short Futures
แต่ถ้าเชื่อว่าตลาดจะลง ก็สามารถเปิด Short Futures
หรือหากเราถือหุ้นอยู่ในพอร์ต และกลัวว่าตลาดอาจปรับฐานลงในระยะสั้น ซึ่งจะทําให้พอร์ตของเราได้รับความเสียหาย
แต่ก็ไม่อยากขายหุ้นในพอร์ตออกไปก่อน เพราะเชื่อว่าหุ้นที่เราถืออยู่ เป็นหุ้นพื้นฐานดี ที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว
แทนที่จะอยู่เฉย ๆ นักลงทุนสามารถเอา Futures มาใช้ประโยชน์ และปกป้องพอร์ตได้
สมมติว่า นักลงทุนมีพอร์ตหุ้น 1,000,000 บาท ถ้าเกิดตลาดปรับตัวลง 10% มูลค่าพอร์ตจะหายไป 100,000 บาททันที
แต่ถ้าในเวลาเดียวกัน นักลงทุนเปิดสถานะ Short SET50 Futures เอาไว้มูลค่าใกล้เคียงกับพอร์ต เมื่อดัชนี
หุ้นปรับลดลง จะได้กําไรจากฝั่ง Short Futures เข้ามาชดเชยกับการขาดทุนของหุ้น
หุ้นปรับลดลง จะได้กําไรจากฝั่ง Short Futures เข้ามาชดเชยกับการขาดทุนของหุ้น
ผลลัพธ์คือ มูลค่าพอร์ตโดยรวม แทบไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งที่ตลาดโดยรวมกําลังอยู่ในช่วงขาลง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การป้องกันความเสี่ยง” หรือ Hedging
เพื่ออธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
เราถือพอร์ตหุ้นขนาด 800,000 บาท ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม SET50
รู้สึกว่าตลาดไม่แน่นอน จึงเปิด Short SET50 Futures 5 สัญญา เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดผันผวน
เราถือพอร์ตหุ้นขนาด 800,000 บาท ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม SET50
รู้สึกว่าตลาดไม่แน่นอน จึงเปิด Short SET50 Futures 5 สัญญา เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดผันผวน
สมมติดัชนี SET50 ปัจจุบันอยู่ที่ 800 จุด
5 สัญญา มูลค่าเท่ากับ 800,000 บาท (คํานวณจาก 200 บาทต่อจุด x 800 จุด x 5 สัญญา) ซึ่งครอบคลุมมูลค่าพอร์ตพอดี
5 สัญญา มูลค่าเท่ากับ 800,000 บาท (คํานวณจาก 200 บาทต่อจุด x 800 จุด x 5 สัญญา) ซึ่งครอบคลุมมูลค่าพอร์ตพอดี
ถ้า SET50 ลงจาก 800 เหลือ 760 จุด หรือ -5%
เราจะขาดทุนจากพอร์ตหุ้น = -5% × 800,000 = -40,000 บาท
เราจะขาดทุนจากพอร์ตหุ้น = -5% × 800,000 = -40,000 บาท
แต่เนื่องจากเราป้องกันความเสี่ยงไว้แล้ว
ทําให้เราได้กําไรจากการ Short SET50 Futures = (800 - 760) × 200 × 5 = 40,000 บาท
ทําให้เราได้กําไรจากการ Short SET50 Futures = (800 - 760) × 200 × 5 = 40,000 บาท
ผลลัพธ์คือ ถึงพอร์ตหุ้นจะขาดทุน แต่ก็ถูกชดเชยด้วยกําไรจากฝั่ง Futures จนเราเสมอตัว โดยที่ไม่
จําเป็นต้องขายหุ้นในพอร์ตเลย
จําเป็นต้องขายหุ้นในพอร์ตเลย
ดังนั้นการ Short Futures เพื่อทําการ Hedging จึงไม่ต่างอะไรกับการทําประกันพอร์ต
สิ่งที่ทําให้ TFEX เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การใช้เงินลงทุนน้อย เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ควบคุมได้
การเปิด Futures 1 สัญญา ไม่จําเป็นต้องจ่ายเงินเต็มมูลค่าสัญญา แต่ใช้เพียงการวางเงิน Margin บางส่วน เช่นประมาณ 10-15% ของมูลค่าสัญญา ทําให้การป้องกันพอร์ตด้วย TFEX ใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก
นอกจาก Futures แล้ว TFEX ยังมีอีกเครื่องมือที่น่าสนใจ คือการใช้ Options โดยเฉพาะการซื้อ Put Option ที่เปรียบเสมือนการซื้อประกันรถยนต์ นักลงทุนจ่ายแค่ค่าเบี้ยประกันเล็กน้อยหรือที่เรียกว่า
Premium เพื่อซื้อสิทธิ์การขายดัชนี (SET50) ในราคาที่ตกลงกันไว้
Premium เพื่อซื้อสิทธิ์การขายดัชนี (SET50) ในราคาที่ตกลงกันไว้
หากตลาดตกแรงจริง ๆ สัญญา Put Options ที่เราซื้อไว้จะทําให้เราสามารถขายสิทธิ์นั้นได้ในราคาที่สูง
กว่าราคาในท้องตลาด และได้กําไรจาก Options มาชดเชยความเสียหายจากพอร์ตหุ้น
กว่าราคาในท้องตลาด และได้กําไรจาก Options มาชดเชยความเสียหายจากพอร์ตหุ้น
แต่ถ้าตลาดไม่ได้ตกตามที่คาดไว้ สิ่งที่เสียไปก็มีเพียงค่าเบี้ย (Premium) ที่จ่ายเท่านั้น เหมือนเราซื้อประกันแต่ไม่ได้เคลม ซึ่งในแง่จิตใจ ถือเป็นการซื้อความสบายใจอย่างหนึ่งนั่นเอง
สุดท้าย การลงทุนในหุ้นคุณภาพเต็มพอร์ตเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว แต่ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นเพียงอย่างเดียว นักลงทุนที่เก่งกาจและรอบคอบ จึงไม่ใช่แค่คนที่เลือกหุ้นได้ดี แต่คือคนที่รู้จัก “บริหารความเสี่ยง” ให้พอร์ตของตัวเองรอดจากทุกสถานการณ์
เครื่องมืออย่าง SET50 Futures และ SET50 Options ในตลาด TFEX จึงเปรียบเหมือนอาวุธลับ ที่นํามาใช้เสริมพอร์ตของนักลงทุนได้ ซึ่งไม่เพียงแค่ให้สามารถทนทานในตลาดขาลง แต่ยังอาจสร้างผลตอบแทน ในช่วงเวลาที่หลายคนมองว่าเป็นวิกฤติได้อีกด้วย..