เศรษฐกิจไทยไม่แน่นอน จากนโยบายภาษีและหลายปัจจัย ใช้ TFEX ดึงกำไรจากตลาดได้อย่างไร ?

เศรษฐกิจไทยไม่แน่นอน จากนโยบายภาษีและหลายปัจจัย ใช้ TFEX ดึงกำไรจากตลาดได้อย่างไร ?

ลงทุนแมน x TFEX
ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการปรับขึ้นภาษีและนโยบายการค้าที่เข้มงวด
แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการค้าระหว่างประเทศ
ฝั่งของไทยนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าภาษีที่จะโดนเก็บคือ 19% แม้จะดูไม่มากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ๆ หรือประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ด้วยหลากหลายปัจจัย ทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดูจะช้ากว่า เรื่องของทักษะและอายุเฉลี่ยของประชากร หรืออุตสาหกรรมที่น่าดึงดูดน้อยกว่ากับโลกยุคใหม่
ก็ล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อสภาพเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน รวมถึงมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบต่าง ๆ เช่นนี้ ดัชนีหุ้นไทยก็เลยมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น
และอาจจะเหวี่ยงลง ถ้ามีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากดดัน
หรืออาจปรับตัวขึ้นยาว ๆ ถ้าได้แรงหนุนจากการปรับนโยบายและมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ
แต่รู้หรือไม่ว่า แม้ตลาดจะผันผวนแค่ไหน จริง ๆ แล้ว โอกาสในการลงทุนยังมีอยู่เสมอ เพราะตลาดทุนของไทย ได้พัฒนาไปไกลกว่าอดีตมาก
รวมไปถึงยังมีตลาดอนุพันธ์ (Thailand Futures Exchange: TFEX) ที่สามารถช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ในทุกสภาวะ ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือขาลง
แล้ว TFEX ช่วยดึงกำไรเข้ากระเป๋า ในภาวะตลาดผันผวนได้อย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ในตลาด TFEX มีสินค้าที่เรียกว่า Futures (ฟิวเจอร์ส)
ให้นักลงทุนเลือกซื้อขาย ซึ่ง ฟิวเจอร์ส หรือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาและเวลาที่กำหนดในอนาคต
จุดเด่นของฟิวเจอร์สคือการที่นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งช่วง ตลาดขาขึ้น (Long) และ ตลาดขาลง (Short) ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นทั่วไปที่มักจะทำกำไรได้เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น
เทียบง่าย ๆ คือ ถ้าปกติเราซื้อหุ้นมาตัวหนึ่ง ถ้าจะทำกำไรก็ต้องขายให้ได้ในราคามากกว่าที่ซื้อมา
หรือต้องรอเงินปันผล
แต่สำหรับ Futures นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะทำกำไรจากการที่ราคาสินทรัพย์ในอนาคตปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือลดลง ทำให้ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง นักลงทุนก็มีโอกาสที่จะคว้ากำไรได้นั่นเอง
แล้วเมื่อลงทุนจริง ๆ เราใช้ Futures ทำกำไรได้อย่างไรบ้าง ?
ยกตัวอย่างผ่านเครื่องมือจริงที่มีอยู่ใน TFEX ก็คือ SET50 Index Futures ที่ใช้ในการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50 ในอนาคต ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในตลาด TFEX เพราะวิเคราะห์ง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว
โดยการเคลื่อนไหวของดัชนี SET50 Index Futures 1 จุด จะคิดเป็นเงินกำไรขาดทุนเท่ากับ 200 บาท
สมมติว่าเราต้องการลงทุนในหุ้นใหญ่ของไทย หรือไม่ก็ ดัชนี SET50
เราก็มีทางเลือกในการลงทุน เช่น
- ซื้อหุ้นใหญ่ที่อยู่ใน SET50 แต่ก็ต้องใช้การวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นรายตัว เพื่อเฟ้นหาตัวที่จะลงทุน
- ลงทุนในกองทุนรวมดัชนี SET50 หรือไม่ก็ SET50 ETF ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั้งหมดในดัชนี SET50 ตามสัดส่วนที่มีในดัชนี
แต่ทั้ง 2 แบบข้างต้น ถ้าไม่นับเงินปันผลจากการลงทุน เราจะได้กำไรก็ต่อเมื่อเราสามารถขายหุ้น หรือหน่วยลงทุนของเราได้ในราคาที่สูงกว่าที่ซื้อมา หรือก็คือ ทำกำไรได้แค่ช่วงที่ตลาดเป็นบวกเท่านั้น
กลับกันหากสภาวะตลาดหุ้นไทยไม่สู้ดี ทำให้หุ้นที่เราลงทุนราคาตกลง หรือ SET50 ติดลบ การขายหุ้นหรือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่กล่าวไปก็จะทำให้เราขาดทุน
จุดนี้เองที่ทำให้ TFEX กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราทำกำไรได้แม้ในช่วงขาลง
อย่างในกรณีนี้ หากเราวิเคราะห์แล้วว่าตลาดอาจปรับตัวลง เราก็สามารถเปิดสถานะขายหรือ Short ใน SET50 Index Futures เพื่อทำกำไรในช่วงตลาดขาลงได้ แม้พอร์ตการลงทุนหลักของเราจะปรับตัวลง
เช่น เปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures
ตอนที่ ดัชนี SET50 อยู่ที่ 800 จุด
หากดัชนี ปรับตัวลงเหลือ 750 จุด หรือลดลง 50 จุด เราก็จะได้กำไรจากการเปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures ที่ 50 x 200 = 10,000 บาท ต่อ 1 สัญญานั่นเอง
ซึ่งนอกจาก SET50 Index Futures แล้ว
ในตลาด TFEX ก็ยังมี Futures ตัวอื่น ๆ อีกมาก ให้เราเลือกลงทุน อย่างเช่น
- Single Stock Futures สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาหุ้นรายตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันมีให้เลือกลงทุนมากกว่า 120 บริษัท
- Gold Online Futures และ Gold Futures สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำโลกซึ่งเป็นสกุลเงินดอลลาร์ และอ้างอิงราคากับทองคำมาตรฐานไทย เป็นสกุลบาทไทย
- USD Futures สัญญาซื้อขายเงินดอลลาร์ล่วงหน้า
และนอกจากกลยุทธ์การเทรดทำกำไรในช่วงขาลง หรือเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้นในช่วงขาขึ้นแล้ว เรายังสามารถใช้ Futures ในกลยุทธ์อื่น ๆ
เช่น การ Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นการใช้ Futures เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่
สมมติว่าเรามีพอร์ตหุ้นไทยอยู่แล้ว แต่กังวลว่าตลาดจะปรับตัวลง เราก็สามารถเปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงนี้
หากตลาดลงจริง การขาดทุนในพอร์ตหุ้นจะถูกชดเชยด้วยกำไรจาก Short Futures ทำให้ผลกระทบรวมน้อยลง
หรือใช้ Single Stock Futures (SSF) สำหรับนักลงทุนที่มั่นใจในหุ้นรายตัว เช่น หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50
หากคาดการณ์ว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้น สามารถเปิดสถานะซื้อหรือ Long SSF เพื่อใช้เงินลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนทวีคูณตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
ในทางกลับกัน หากคาดว่าหุ้นมีโอกาสปรับตัวลง ก็สามารถ Short SSF เพื่อล็อกกำไรจากการปรับฐาน หรือนำกำไรที่ได้มาชดเชยส่วนขาดทุน (Hedging) จากการปรับตัวลงของราคาหุ้นที่ถืออยู่ก็ได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ คงต้องยอมรับว่าปัจจุบันตลาดทุนมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบต่าง ๆ มากขึ้น และไม่มีใครรู้อนาคต
การใช้แต่ท่าเดิมในการลงทุน อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างผลตอบแทนหรือรักษามูลค่าพอร์ตลงทุนได้ในทุกจังหวะ
แต่คงจะดีกว่าถ้าเราเปิดใจเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ
อย่างเช่น Futures หรือ Options ในตลาด TFEX ที่ช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม
การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมเข้ามาช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรในยามขาขึ้น รวมถึงช่วยชดเชยหรือป้องกันความเสี่ยงในยามตลาดเป็นขาลง
จะทำให้พอร์ตลงทุนยังมีโอกาสเติบโตได้ แม้เศรษฐกิจไม่เป็นใจก็ตาม..
สำหรับผู้สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าและแนวทางการใช้ TFEX เพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://s.setth.org/hwh
#TFEX #ลงทุน #หุ้น
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นการให้ข้อมูลเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนการตัดสินใจลงทุน

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon