กรณีศึกษา Jamie Mai ใช้ Options ปั้นพอร์ตจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 500,000,000 บาทได้ ภายใน 2 ปี

กรณีศึกษา Jamie Mai ใช้ Options ปั้นพอร์ตจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 500,000,000 บาทได้ ภายใน 2 ปี

กรณีศึกษา Jamie Mai ใช้ Options ปั้นพอร์ตจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 500,000,000 บาทได้ ภายใน 2 ปี /โดย ลงทุนแมน
หากใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Big Short ที่อิงกับวิกฤติซับไพรม์ในปี 2008 น่าจะจำตัวละคร 2 ตัว ที่เป็นเพื่อนซี้คู่หูนักลงทุนกันได้ เพราะนอกจากจะเป็นนักลงทุนที่อายุน้อยแล้ว ยังทำกำไรได้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
โดยตัวละครหนึ่งในนั้นอิงมาจากชีวิตจริงของคุณ Jamie Mai ที่จะสร้างชื่อเสียงและทำผลตอบแทนมหาศาลจากวิกฤติซับไพรม์
แต่รู้หรือไม่ ? ก่อนหน้านั้น คุณ Mai กับคู่หู ก็เคยพิสูจน์ทักษะการลงทุน ด้วยการปั้นพอร์ตจากเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,000,000 บาท เมื่อคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน
กลายเป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 500,000,000 บาท ในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น
ซึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในระดับนี้คือ Options ที่แม้จะเป็นเรื่องใหม่ของนักลงทุนไทย แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คุ้นเคยกันอยู่แล้ว
Options คืออะไร ?
และคุณ Mai มีกลยุทธ์อะไรในการปั้นพอร์ตด้วย Options ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Options คือเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนคูปอง ที่ให้สิทธิเราเลือกว่า จะซื้อหรือขายหุ้นนั้นในอนาคต ด้วยราคาที่ตกลงกันไว้
ซึ่ง Options สามารถแบ่งตามลักษณะการใช้สิทธิได้เป็น 2 แบบ ได้แก่
1. Call Options หรือ​​สิทธิในการ “ซื้อ” หุ้น โดยเราจะใช้ Call Options เมื่อเราคาดการณ์ว่า หุ้นจะขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่า ราคาของหุ้น NVIDIA จะขึ้นต่อเนื่อง ก็ไปใช้ Call Options เพื่อจะได้เรียกใช้สิทธิในการซื้อหุ้นในอนาคตด้วยราคาปัจจุบันที่ถูกล็อกไว้หน้าสัญญา (Strike Price) หรือเพิ่มผลตอบแทนแบบทวีคูณ
ถ้าถามว่า Options เพิ่มผลตอบแทนขนาดไหน ก็ต้องขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
สมมติหุ้น A ราคา 10 บาทต่อหุ้น และถ้าเราซื้อ 100 หุ้น เราก็จะต้องจ่ายเงิน 1,000 บาท
เมื่อผลประกอบการเติบโตตามคาด ราคาหุ้นเพิ่มมาเป็น 12 บาทต่อหุ้น ถ้าขายหุ้นไปเราก็จะได้กำไร 200 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 20%
แต่ถ้าเราเลือกนำเงิน 1,000 บาทเท่ากัน ไปซื้อ Call Options ของหุ้น A 10 สัญญา
โดยสมมติว่า Call Options ของหุ้น A มี
- ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price ที่ 10 บาทต่อหุ้น
- ขนาด Options 1 สัญญา เท่ากับ 100 หุ้น
- ค่าพรีเมียม 1 บาทต่อหุ้น
กำไรจากการลงทุน = ราคาหุ้นปัจจุบัน 12 บาทต่อหุ้น - ราคาที่เราใช้สิทธิ Call Options 10 บาทต่อหุ้น - ค่าพรีเมียม 1 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จะเท่ากับ ได้กำไร 1 บาทต่อหุ้น
หรือคิดเป็นกำไรรวม = 1 บาทต่อหุ้น x หุ้น A 1,000 หุ้น เท่ากับ 1,000 บาท คิดเป็นกำไรจากการลงทุน 100%
2. Put Options หรือสิทธิในการ “ขาย” หุ้น โดยเราจะใช้ Put Options เมื่อเราคาดการณ์ว่า หุ้นจะลงในอนาคต
ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่า ราคาของหุ้น Apple จะลดลง ก็ไปใช้ Put Options เพื่อจะได้ทำกำไรจากราคาหุ้นที่ลดลง หรือใช้สิทธิในการขายหุ้นในราคาที่ล็อกไว้แล้ว หากเรามีหุ้น Apple อยู่ในพอร์ต
กำไรจากการลงทุน = ราคาที่เราใช้สิทธิ Put Options - ราคาหุ้นปัจจุบัน - ค่าพรีเมียม
จากที่เล่ามาจะเห็นได้ว่า Options สามารถทำกำไรได้ทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง ใช้ป้องกันความเสี่ยงให้กับหุ้นในพอร์ต รวมถึงเพิ่มผลตอบแทนทวีคูณ
ด้วยคุณสมบัติของเครื่องมือทางการเงินนี้เอง ที่ทำให้คุณ Mai สามารถปั้นพอร์ตลงทุนให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นด้านการลงทุนกว่าหลายคนที่ใช้ Options เหมือนกัน คือกลยุทธ์ในการเข้าซื้อ
โดยคุณ Mai จะลงทุนเมื่อประเมินแล้วว่า ถ้าเสี่ยง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต้องมีโอกาสได้กำไรถึง 10, 20, 100 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่านั้น
ซึ่งจากหลักการนี้ อาจทำให้การเดิมพันส่วนใหญ่ของเขานั้นแพ้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ขนาดของการเดิมพันที่ชนะจะชดเชยการขาดทุนเล็กน้อยเหล่านั้นได้หมด
การใช้ Options ที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือ เหตุการณ์ของหุ้น Capital One Financial หนึ่งในสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่เจอข้อกล่าวหาเรื่องการฉ้อโกงในหมู่กรรมการ จนราคาร่วงหนัก 60%
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทยังคงดูดี และการสอบสวนของ ก.ล.ต. ยังไม่มีข้อสรุป
ทำให้สองคู่หูรู้สึกสนใจ จึงไปศึกษาหาข้อมูลด้านต่าง ๆ ต่อ แล้วก็ประเมินได้ว่า คุ้มค่าต่อการเดิมพัน เพราะบริษัทนี้ ไม่น่าจะมีการฉ้อโกงเกิดขึ้น และราคาน่าจะดีดตัวแรงกลับไปสู่จุดเดิม เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด หลังจากได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดย ก.ล.ต. ราคาหุ้นกลับไปจุดเดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้
ซึ่งถ้าลงทุนหุ้น ก็คงได้กำไร 1 เด้ง
แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือ การลงทุนใน Call Options ที่เป็น Out of the Money แบบมาก ๆ
หรือก็คือ สัญญา Options ที่ราคาของหุ้นอ้างอิงอยู่ในระดับราคาที่ “ยังไม่สามารถใช้สิทธิได้” ดังนั้นค่าพรีเมียมของสัญญาจะมีราคาต่ำ
ทีนี้พอราคาหุ้นกลับตัว คนที่ใช้ Call Options ก็จะยิ่งกำไร แต่คนที่ได้กำไรยิ่งกว่าคือคนที่เข้าลงทุน Call Options แบบ Out of the Money
ทั้งนี้ Call Options ที่ทั้งคู่เลือก เป็น Options แบบอายุยาวถึง 2 ปี ทำให้ความเสี่ยงที่ Options จะหมดอายุการใช้สิทธิก่อนเหตุการณ์จะกลับมาเป็นปกตินั้นลดลง
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้เงินที่ลงทุนไป 26,000 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 526,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาเพียงไม่นาน
หลังจากสร้างผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ กลยุทธ์นี้ก็ถูกนำไปใช้ซ้ำกับการลงทุนอื่น ๆ เช่น
- Altria บริษัทบุหรี่ เจ้าของแบรนด์ Marlboro ที่เผชิญกับการถูกฟ้องร้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การชำระหนี้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สุดท้ายเหตุการณ์ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ทำให้พวกเขาทำกำไรได้ประมาณ 2.5 เท่า
- United Pan European Cable บริษัทเคเบิลทีวีที่ประสบปัญหาด้านการเงิน ก็ถูกซื้อ Call Options ด้วยมูลค่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่ต่อมาหุ้นจะดีดกลับ จนเงินลงทุนก้อนนั้นมีมูลค่า 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จนท้ายที่สุดพอร์ตก็โตเป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะกลายเป็น 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,900 ล้านบาท หลังวิกฤติซับไพรม์
อย่างไรก็ตาม Options ไม่ได้มีแต่ด้านกำไรเพียงอย่างเดียว เพราะถ้ามันทวีคูณผลตอบแทนได้ ก็สามารถทวีคูณผลขาดทุนได้เช่นกัน ซึ่งหากใช้ไม่เป็น เงินที่เราสะสมลงทุนมาตลอด ก็อาจจะหมดแบบไม่ทันตั้งตัว..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon