
อธิบายปรากฏการณ์ นักลงทุนไทย ถูกหวย จาก Options
ช่วงที่ผ่านมา ถ้าใครสิงอยู่ในกลุ่มลงทุนใน Facebook น่าจะต้องเคยเห็นคนจำนวนหนึ่ง มาโพสต์รูปหน้าจอแอปลงทุนที่แสดงผลตอบแทนหลัก 1,000% หรือ 10,000% ผ่านตากันบ้าง
ความน่าสนใจคือ ผลตอบแทนระดับนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการถือหุ้นเป็นเวลานานหลายสิบปี แต่มาจาก
การเก็งกำไรระยะสั้น ที่ไม่เกินสัปดาห์ด้วยซ้ำ
การเก็งกำไรระยะสั้น ที่ไม่เกินสัปดาห์ด้วยซ้ำ
ซึ่งต้นเหตุของปรากฏการณ์นี้ มาจากสิ่งที่เรียกว่า “Options” เครื่องมือทางการเงินที่กำลังนิยมในนักลงทุนไทย ณ เวลานี้
ทำไม Options ถึงสามารถสร้างผลตอบแทนแบบทวีคูณได้ และมีเรื่องอะไรที่ควรระวังไว้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Options เป็นสัญญาที่ให้สิทธิเราในการซื้อ (Call Options) หรือขายสินทรัพย์ (Put Options) ตามราคาที่กำหนดไว้ (เรียกว่าราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price)
ดังนั้นเครื่องมือทางการเงินตัวนี้ก็เหมือนกับ การจองสิทธิบางอย่าง โดยเราต้องจ่ายค่าจองเพื่อล็อกสิทธิไว้ล่วงหน้า แต่จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ เหมือนเราจ่ายเงินจองสินค้า 1,000 บาท ซึ่งราคาสินค้านั้นอยู่ที่ 10,000 บาท
ถ้าต่อมาตลาดให้มูลค่ากับสินค้านั้น จนราคาสินค้าในตลาดเพิ่มเป็น 20,000 บาท เราก็สามารถขายสัญญาการจองนั้นต่อด้วยราคาที่สูงได้ถึงเกือบ 10,000 บาท จากเงินที่จ่ายไปตอนแรกเพียง 1,000 บาทเท่านั้น
นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไม Options มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้หลายเท่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นโดยตรง เพราะเราจ่ายแค่ค่าสิทธิในการซื้อเท่านั้น
ส่วนราคา Options คำนวณมาจากอะไร ? ต้องดูที่มาของมูลค่า ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน
1. Intrinsic Value คือมูลค่าที่แท้จริง
หรือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราใช้สิทธิ ณ ตอนนั้น จะได้กำไรเท่าไร
หรือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราใช้สิทธิ ณ ตอนนั้น จะได้กำไรเท่าไร
โดย Intrinsic Value ของ Call Options = ราคาหุ้นปัจจุบัน − ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)
หรือพูดง่าย ๆ ว่า คือส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นกับราคาใช้สิทธิ
ซึ่งถ้าใช้สิทธิแล้วมีกำไร จะเรียกว่า In the Money
กลับกันถ้าใช้สิทธิแล้วไม่มีกำไร จะเรียกว่า Out of the Money และหมายความว่า Intrinsic Value = 0 นั่นเอง
กลับกันถ้าใช้สิทธิแล้วไม่มีกำไร จะเรียกว่า Out of the Money และหมายความว่า Intrinsic Value = 0 นั่นเอง
แต่สาเหตุที่เราเห็น Options หลายตัวมีมูลค่า แม้จะมีราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ก็มาจากปัจจัยข้อต่อไป
2. Extrinsic Value คือมูลค่าที่เกิดจากเวลาและความไม่แน่นอน
การที่ Options อยู่ในภาวะ Out of the Money แต่ยังมีมูลค่า ก็เพราะมาจากส่วนนี้นี่เอง ที่นักลงทุนยังคาดหวังว่า ราคาหุ้นจะสามารถแซงราคาใช้สิทธิ ได้ในอนาคต
ดังนั้นยิ่งระยะเวลาการใช้สิทธินาน มูลค่า Options จะยิ่งมาก
ดังนั้นยิ่งระยะเวลาการใช้สิทธินาน มูลค่า Options จะยิ่งมาก
ตัวอย่าง Call Options ของ NVIDIA ที่ราคาใช้สิทธิ 190.00 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568)
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 17 ตุลาคม 2568 มีราคาที่ 3.19 ดอลลาร์สหรัฐ
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 14 พฤศจิกายน 2568 มีราคาที่ 7.90 ดอลลาร์สหรัฐ
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 17 ตุลาคม 2568 มีราคาที่ 3.19 ดอลลาร์สหรัฐ
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 14 พฤศจิกายน 2568 มีราคาที่ 7.90 ดอลลาร์สหรัฐ
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ตัวแม้จะอิงหุ้นตัวเดียวกัน และมีราคาใช้สิทธิเท่ากัน แต่ตัวที่วันหมดสิทธิใช้อยู่ไกลกว่า จะมีราคา Options ที่สูงกว่า
เมื่อเราเห็นวิธีคำนวณมูลค่า ก็น่าจะพอเห็นกระบวนท่าของนักลงทุนไทยหลายคนแล้ว
โดยหลายคนเลือกลงทุน Call Options ในสถานะ Out of the Money ด้วยวันหมดการใช้สิทธิที่ใกล้ที่สุด เพื่อจะได้ราคา Options ที่ต่ำมาก ๆ
เช่น ปัจจุบันราคาหุ้น Alphabet (Google) อยู่ที่ 251.51 ดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ Call Options ของหุ้น Alphabet ที่ราคาใช้สิทธิ 275.00 ดอลลาร์สหรัฐ และวันหมดสิทธิใช้ 17 ตุลาคม 2568 มีราคา Options ที่ 0.12 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
จะเห็นได้ว่าราคา Options เหลือไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐด้วยซ้ำ เพราะโอกาสที่อยู่ ๆ ราคาหุ้นขนาดใหญ่จะพุ่งทะยานเกิน 9% ภายใน 1 สัปดาห์ เป็นไปได้ค่อนข้างยาก
แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมาจริง แบบจู่ ๆ ราคาหุ้นพุ่ง +30% เหมือนกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับ AMD
ราคา Options ก็สามารถกระโดดเพิ่มขึ้นถึงหลัก 10,000% หรือหลัก 100,000% ได้
ราคา Options ก็สามารถกระโดดเพิ่มขึ้นถึงหลัก 10,000% หรือหลัก 100,000% ได้
จากตัวอย่างจะดูว่าเป็นไปได้ยาก แต่ช่วงที่ผ่านมาที่เราเห็นคนลงทุนได้กำไรมหาศาลกันเยอะ จนดูเป็นเรื่องที่ง่าย เพราะเป็นจังหวะที่ข่าวสำคัญออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- ราคาหุ้น Oracle +40% หลังรายงานการปิดดีลกับลูกค้ารายใหญ่ และคาดการณ์ธุรกิจจะโตระเบิดในอนาคต
- ราคาหุ้น Intel ดีดตัว +23% หลัง NVIDIA เข้าลงทุน
- ราคาหุ้น Pfizer +6.8% หลังบริษัทบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นภาษี 3 ปี
- ราคาหุ้น Intel ดีดตัว +23% หลัง NVIDIA เข้าลงทุน
- ราคาหุ้น Pfizer +6.8% หลังบริษัทบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นภาษี 3 ปี
หรือล่าสุดราคาหุ้น AMD ก็พุ่งทะยานกว่า 30% หลังดีลขายชิปให้ OpenAI ได้หลักล้านล้านบาท ในช่วงเวลาหลายปีข้างหน้า
เหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ต่างกับการถูกหวย เพียงแต่ Options เราพอจะสามารถคาดการณ์ได้ หากติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนอยู่เสมอ
พอเรื่องเป็นแบบนี้ หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะทุ่มเงินสุดตัวลงใน Options เลย
แต่ก็ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ โดยเฉพาะมือใหม่ เพราะ Options มีความเสี่ยงที่สูง จึงควรศึกษาหาความรู้ให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
และควรระมัดระวังให้ดี เพราะหากราคาหุ้นไม่ถึงจุดที่ In the Money และหมดอายุก่อน เงินก้อนนั้นสามารถกลายเป็น 0 ได้ทันที
ซึ่งไม่ว่าเราจะเก็บออมมากแค่ไหน หรือเคยลงทุนได้ผลตอบแทนมากเท่าไรก็ตาม
แต่อะไรที่คูณกับ 0 ก็คือ 0 อยู่ดี..
แต่อะไรที่คูณกับ 0 ก็คือ 0 อยู่ดี..