อธิบาย 14 คำศัพท์ Options หุ้น ที่คนจะใช้ต้องรู้จัก พร้อมยกตัวอย่าง ให้เข้าใจง่าย

อธิบาย 14 คำศัพท์ Options หุ้น ที่คนจะใช้ต้องรู้จัก พร้อมยกตัวอย่าง ให้เข้าใจง่าย

อธิบาย 14 คำศัพท์ Options หุ้น ที่คนจะใช้ต้องรู้จัก พร้อมยกตัวอย่าง ให้เข้าใจง่าย /โดย ลงทุนแมน
1. Options คือเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนคูปอง ที่ให้สิทธิเราเลือกว่า จะซื้อหรือขายหุ้นนั้นในอนาคต ด้วยราคาที่ตกลงกันไว้
ดังนั้นเครื่องมือทางการเงินตัวนี้ก็เหมือนกับ การจองสิทธิบางอย่าง โดยเราต้องจ่ายค่าจอง เพื่อล็อกสิทธิไว้ล่วงหน้า แต่จะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ เหมือนเราจ่ายเงินจองสินค้า 1,000 บาท ซึ่งราคาสินค้านั้นอยู่ที่ 10,000 บาท
ถ้าต่อมาตลาดให้มูลค่ากับสินค้านั้น จนราคาสินค้าในตลาดเพิ่มเป็น 20,000 บาท เราก็ยังสามารถได้สินค้านั้นในราคา 10,000 บาท เพราะเรามีใบจองสินค้าแล้ว
2. Call และ Put คือลักษณะการใช้สิทธิ
Call Options คือสิทธิในการ “ซื้อ” หุ้น โดยเราจะใช้ Call Options เมื่อเราคาดการณ์ว่า หุ้นจะขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่า ราคาของหุ้น NVIDIA จะขึ้นต่อเนื่อง ก็ไปใช้ Call Options เพื่อจะได้เรียกใช้สิทธิในการซื้อหุ้นในอนาคตด้วยราคาปัจจุบันที่ถูกล็อกไว้หน้าสัญญา (Strike Price) หรือเพิ่มผลตอบแทนแบบทวีคูณ (Leverage)
Put Options คือสิทธิในการ “ขาย” หุ้น โดยเราจะใช้ Put Options เมื่อเราคาดการณ์ว่า หุ้นจะลงในอนาคต
ตัวอย่างเช่น หากเราคิดว่า ราคาของหุ้น Apple จะลดลง ก็ไปใช้ Put Options เพื่อจะได้ทำกำไรจากราคาหุ้นที่ลดลง หรือใช้สิทธิในการขายหุ้นในราคาที่ล็อกไว้แล้ว หากเรามีหุ้น Apple อยู่ในพอร์ต
3. Strike Price หรือราคาใช้สิทธิ
ราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้าใน Options ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อ Call Options มีสิทธิที่จะซื้อ
หรือผู้ซื้อ Put Options มีสิทธิที่จะขายในหุ้นที่อ้างอิง
เช่น เราซื้อ Call Options ของ NVIDIA ที่ Strike Price = 185 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ถ้าต่อมาราคาหุ้น NVIDIA มาอยู่ที่ 190 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เราสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้น NVIDIA ที่ 185 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
กลับกันถ้าเราซื้อ Put Options ของ NVIDIA ที่ Strike Price = 180 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ถ้าต่อมาราคาหุ้น NVIDIA มาอยู่ที่ 170 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น หากเรามีหุ้น NVIDIA ในพอร์ต สามารถใช้สิทธิขายหุ้น NVIDIA ที่ 180 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
4. Premium หรือราคา Options
คือจำนวนเงินที่ผู้ซื้อ Options จะต้องจ่ายให้แก่ผู้ขาย เพื่อให้ได้สิทธิของ Options นั้น ๆ
โดยราคา Options มีที่มาจาก 2 ส่วนคือ
1) Intrinsic Value คือมูลค่าที่แท้จริง หรือพูดง่าย ๆ ว่า ถ้าเราใช้สิทธิ ณ ตอนนั้น จะได้กำไรเท่าไร
โดย Intrinsic Value ของ Call Options = ราคาหุ้นปัจจุบัน - Strike Price
หรือพูดง่าย ๆ ว่า คือส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นกับราคาใช้สิทธิ
ซึ่งถ้าใช้สิทธิแล้วมีกำไร จะเรียกว่า In the Money
กลับกันถ้าใช้สิทธิแล้วไม่มีกำไร จะเรียกว่า Out of the Money และหมายความว่า Intrinsic Value = 0 นั่นเอง
ส่วน Put Options = Strike Price - ราคาหุ้นปัจจุบัน
แต่สาเหตุที่เราเห็น Options หลายตัวมีมูลค่า แม้ว่า Intrinsic Value = 0 ก็มาจากปัจจัยข้อต่อไป
2) Extrinsic Value คือมูลค่าที่เกิดจากเวลา และความไม่แน่นอน
การที่ Options อยู่ในภาวะ Out of the Money แต่ยังมีมูลค่า ก็เพราะมาจากส่วนนี้นี่เอง ที่นักลงทุนยังคาดหวังว่า ราคาหุ้นจะสามารถไปถึงจุดที่ใช้สิทธิแล้วมีกำไรได้ในอนาคต
ดังนั้นยิ่งระยะเวลาการใช้สิทธินาน มูลค่า Options จะยิ่งมาก
ตัวอย่าง Call Options ของ NVIDIA ที่ราคาใช้สิทธิ 190.00 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2568)
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 17 ตุลาคม 2568 มีราคาที่ 3.19 ดอลลาร์สหรัฐ
- Options ที่วันหมดสิทธิใช้ 14 พฤศจิกายน 2568 มีราคาที่ 7.90 ดอลลาร์สหรัฐ
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ตัวแม้จะอิงหุ้นตัวเดียวกัน และมีราคาใช้สิทธิเท่ากัน แต่ตัวที่วันหมดสิทธิใช้อยู่ไกลกว่า จะมีราคา Options ที่สูงกว่า
5. ITM และ OTM คือสถานะที่บอกว่า ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในจุดที่ควรใช้สิทธิหรือไม่
ITM หรือ In the Money คือ Options ที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในระดับราคาที่สามารถ “ใช้สิทธิได้ทันที” ทำให้ค่า Premium ของ Options จะมีราคาที่สูง
OTM หรือ Out of the Money คือ Options ที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงอยู่ในระดับราคาที่ “ยังไม่สามารถใช้สิทธิ” ดังนั้นค่า Premium ของสัญญาจะมีราคาต่ำ
6. Expiration Date หรือวันหมดอายุ
ความหมายตรงตัวคือ เป็นวันสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิ Options ได้
ถ้าเราถือ Options เลยวันนี้ Options จะมีมูลค่าเหลือ 0 เพราะมันไม่สามารถใช้สิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นที่อ้างอิงได้แล้ว ไม่เหมือนกับหุ้นที่เราสามารถถือได้เรื่อย ๆ จนกว่าบริษัทจะล้มละลายหรือออกจากตลาด
7. Breakeven คือจุดที่บอกว่า หุ้นต้องมีราคาเท่าไร ถ้าเราใช้สิทธิของ Options ถึงจะคุ้มทุนหรือเริ่มมีกำไรแล้ว
วิธีคำนวณ
- Breakeven ของ Call Options = Strike Price + Premium
- Breakeven ของ Put Options = Strike Price - Premium
สมมติว่า Call Options ของหุ้น A มี
- ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price ที่ 10 บาทต่อหุ้น
- ขนาด Options 1 สัญญา เท่ากับ 100 หุ้น
- ค่า Premium 1 บาทต่อหุ้น
ดังนั้น Breakeven ของ Call Options = 10 + 1 = 11 บาทต่อหุ้น
ต่อมาถ้าราคาหุ้น A อยู่ที่ 12 บาทต่อหุ้น วิธีคำนวณกำไรจะไม่ต่างจาก Breakeven เลย โดย
กำไรจากการลงทุน = ราคาหุ้นปัจจุบัน - Breakeven
= ราคาหุ้นปัจจุบัน - (Strike Price + Premium)
กำไรจากการลงทุน = ราคาหุ้นปัจจุบัน 12 บาทต่อหุ้น - ราคาที่เราใช้สิทธิ Call Options 10 บาทต่อหุ้น - ค่าพรีเมียม 1 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จะเท่ากับ ได้กำไร 1 บาทต่อหุ้น
หรือคิดเป็นกำไรรวมต่อ 1 สัญญา = 1 บาทต่อหุ้น x หุ้น A 100 หุ้น เท่ากับ 100 บาท
สำหรับ Put Options
สมมติว่า Put Options ของหุ้น B มี
- ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price ที่ 10 บาทต่อหุ้น
- ขนาด Options 1 สัญญา เท่ากับ 100 หุ้น
- ค่า Premium 1 บาทต่อหุ้น
ดังนั้น Breakeven ของ Put Options = 10 - 1 = 9 บาทต่อหุ้น
ต่อมาถ้าราคาหุ้น B อยู่ที่ 8 บาทต่อหุ้น
กำไรจากการลงทุน = Breakeven - ราคาหุ้นปัจจุบัน
= Strike Price - Premium - ราคาหุ้นปัจจุบัน
กำไรจากการลงทุน = ราคาที่เราใช้สิทธิ Put Options 10 บาทต่อหุ้น - ค่า Premium 1 บาทต่อหุ้น - ราคาหุ้นปัจจุบัน 8 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จะเท่ากับ ได้กำไร 1 บาทต่อหุ้น
หรือคิดเป็นกำไรรวมต่อ 1 สัญญา = 1 บาทต่อหุ้น x หุ้น B 100 หุ้น เท่ากับ 100 บาท
สิ่งที่ควรจำไว้ 1 สัญญา = 100 หุ้น
8. Volume คือจำนวนสัญญา Options ที่ถูกซื้อขายในวันนั้น ๆ
โดย Volume จะรีเซตใหม่ทุกวัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่าในวันนั้น Options ตัวนั้นมีคนซื้อขายเยอะหรือไม่
เช่น Call Options ของ Microsoft ที่ Strike Price 515 ดอลลาร์สหรัฐ มี Volume = 2,000 แสดงว่าวันนั้นมีคนซื้อขาย Options 2,000 สัญญา
9. Open Interest คือจำนวนสัญญา Options ทั้งหมดที่ยังคงเปิดสถานะค้างอยู่
ซึ่งบอกถึงความนิยมของสัญญานั้น จะไม่รีเซตในแต่ละวันเหมือนกับ Volume แต่เป็นการนับสะสม
เช่น Call Options ของ Meta Platforms ที่ Strike Price 720 ดอลลาร์สหรัฐ มี Open Interest = 1,000 แสดงว่ายังมีคนถือสัญญานี้ค้างอยู่รวม 1,000 สัญญา
10. Implied Volatility (IV) คือค่าที่บอกว่า ตลาดคาดว่าหุ้นจะเหวี่ยงแรงแค่ไหน
หรือก็คือความผันผวนนั่นเอง
ซึ่งความผันผวน กับ ราคา Options มักไปในทิศทางเดียวกัน
- ยิ่ง IV สูง แสดงว่าตลาดคาดว่า หุ้นจะผันผวนมาก ราคา Options จึงแพง
- กลับกันยิ่ง IV ต่ำ แสดงว่าตลาดคาดว่า หุ้นจะผันผวนน้อย ราคา Options จึงถูก
ตัวอย่างสถานการณ์ที่จะทำให้ IV สูง เช่น หุ้นกำลังจะประกาศผลประกอบการ หรือหุ้นกำลังเจอกับข่าวบางอย่างที่ส่งผลต่อธุรกิจ รวมถึงขนาดหุ้นก็ส่งผลต่อ IV ได้เช่นกัน
11. Delta ใช้ดูว่าราคา Options จะขยับขึ้นหรือลงเท่าไร เมื่อเทียบกับการขยับตัวของหุ้นที่อ้างอิง 1 หน่วย
โดยค่า Delta เป็นบวก หมายถึง มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับสินค้าอ้างอิง
แต่ถ้าค่าเป็นลบ หมายถึง มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกัน
- Call Options อยู่ระหว่าง 0 ถึง 1
- Put Options อยู่ระหว่าง -1 ถึง 0
ตัวอย่างเช่น มีหุ้น A ราคาที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ ราคา Call Options 1 ดอลลาร์สหรัฐ และมีค่า Delta 0.5
ถ้าหุ้น A เพิ่มเป็น 105 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มจากเดิม 5 ดอลลาร์สหรัฐ
แสดงว่า Call Options ตัวนี้จะมีราคาเพิ่ม 0.5 x 5 = 2.5 ดอลลาร์สหรัฐ
หรือมีมูลค่า 1 + 2.5 = 3.5 ดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง
12. Theta คือค่าที่บอกว่า Options จะลดมูลค่าไปเท่าไร เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน
ทุกวันใกล้หมดอายุ Options จะค่อย ๆ เสื่อมราคา เพราะโอกาสใช้สิทธิเริ่มน้อยลง ดังนั้นคนซื้อ Options จะกลัว Theta แต่คนขาย Options จะชอบ
โดย Theta จะไม่ได้เท่ากันทุกวัน แต่ค่ามันจะค่อย ๆ เพิ่มเมื่อ Options ยิ่งใกล้หมดอายุ นี่เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมราคา Options ถึงลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้วันหมดอายุ
เช่น ถ้า Theta = -0.10 หมายความว่า Options จะมีราคาลดลง 0.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน
13. Bid-Ask Spread คือส่วนต่างของราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask)
บ่งบอกถึงสภาพคล่อง ยิ่ง Spread แคบหรือห่างกันน้อย ยิ่งดี เพราะซื้อขายง่าย ถ้ากว้างนอกจากจะซื้อขายยากแล้ว ยิ่งเสียเงินทันทีตอนเข้าออก
14. Exercise คือการใช้สิทธิในการซื้อหรือขายหุ้นในราคาที่ Strike Price
ปกติแล้วหลายคนจะชอบซื้อขาย Options กันต่อเพื่อเก็งกำไร แต่จริง ๆ แล้ว Options มีไว้ใช้เพื่อซื้อหรือขายหุ้นด้วย โดยดูตัวอย่างได้จากข้อ 3
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า 1 สัญญา = 100 หุ้น ดังนั้นถ้าเราใช้สิทธิ Call Options จำนวน 2 สัญญา เท่ากับว่าเราจะต้องซื้อหุ้นนั้น 100 x 2 = 200 หุ้น

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon