
เจาะเทคนิคลงทุนตลาดหุ้นไทย ทำกำไรได้ทุกจังหวะแม้ตลาดขาลง ด้วย TFEX
เจาะเทคนิคลงทุนตลาดหุ้นไทย ทำกำไรได้ทุกจังหวะแม้ตลาดขาลง ด้วย TFEX /โดย ลงทุนแมน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน ไม่แน่นอน
คำถามที่หลายคนมีคือ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้อยู่หรือไม่ ?
คำถามที่หลายคนมีคือ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้อยู่หรือไม่ ?
หรือถ้าเรายังจำเป็นต้องอยู่ในตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสมและคว้ากำไรจากตลาดได้คืออะไร ?
คุณฝา ไชยวัฒน์ กนกคุณ นักลงทุนอิสระที่เน้นการลงทุน ในตลาดหุ้นไทยและตลาด TFEX มานานกว่า 10 ปี
ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนของตนเองที่ทำให้สามารถดำรงชีพได้ในระยะยาว
รวมถึงการใช้ TFEX เป็นส่วนสำคัญเพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนให้เติบโตและทำกำไรได้ในทุกช่วงจังหวะของตลาด ไม่ว่าจะขาขึ้น ขาลง หรือตลาดทรงตัว
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์การลงทุนด้วย TFEX ของคุณฝาคืออะไร ?
ลงทุนแมนสรุปให้ในโพสต์นี้
ลงทุนแมนสรุปให้ในโพสต์นี้
คุณฝา เล่าว่าได้พัฒนาทักษะการลงทุนมาอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันเป็นนักลงทุนอิสระที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและใช้ TFEX เข้ามาช่วยทำให้พอร์ตมีการเติบโตอย่างยั่งยืน
โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งโอกาสในการสร้างกำไร ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะมีพื้นฐานการศึกษาหรืออาชีพใดก็ตาม
ที่น่าสนใจคือ แม้พอร์ตจะเติบโตมากับ TFEX ที่มี Leverage และความผันผวน แต่สไตล์การลงทุนของคุณฝาในตลาดนี้ คือ การเทรดไปเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้หวังผลแบบก้าวกระโดดหรือ "Big Shot"
โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างความสม่ำเสมอของกำไร จึงทำให้สามารถประคองตัวและเอาตัวรอดได้แม้ในช่วงตลาดแย่
ซึ่งคุณฝาพยายามออกแบบเส้นทางการลงทุนให้ราบรื่นที่สุด และต้องไม่ขาดทุนหนักจนไม่สามารถอยู่ในตลาดได้
โดยในช่วงแรกที่เงินทุนยังไม่มากนัก คุณฝาเน้นการสร้างพอร์ตด้วยสินค้าในตลาด TFEX อย่าง SET50 Futures เป็นหลัก
เพราะมีจุดเด่นคือ
1. เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
2. สินค้ามี Leverage คือ ใช้เงินลงทุนน้อย แต่สร้างกำไรได้เยอะเมื่อเทียบกับสัดส่วนของเงินลงทุนที่ใช้
1. เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
2. สินค้ามี Leverage คือ ใช้เงินลงทุนน้อย แต่สร้างกำไรได้เยอะเมื่อเทียบกับสัดส่วนของเงินลงทุนที่ใช้
แถมไม่ต้องมานั่งเลือกหุ้นเป็นรายตัว วิเคราะห์แค่ภาพรวมของทิศทางตลาด ซึ่งช่วยลดเวลาการทำงานลงได้มาก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป และบริบทของตลาดที่เปลี่ยน คุณฝาก็ได้เรียนรู้สินทรัพย์อื่น ๆ เพิ่มเติม และเริ่มเทรด Options มากขึ้น รวมถึงกระจายความเสี่ยงไปที่ ทองคำ ด้วย
เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยก็มีความผันผวน หรือบางช่วงอาจไม่ได้มีจังหวะให้เทรดมากนัก
ทำให้ปัจจุบันในพอร์ตของคุณฝามีการผสมผสานทั้งสินค้าในตลาด TFEX ไม่ว่าจะเป็น Futures หรือ Options รวมถึง หุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ ด้วย
โดยแต่ละสินค้าที่ใช้ ทำหน้าที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การลงทุนของคุณฝา และตามสภาวะตลาดแต่ละช่วง
อย่างไรก็ตาม แนวทางการเทรดของคุณฝาและคิดว่า เหมาะกับตัวเองมากที่สุดก็คือ Day Trade ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ต้องถือ Position ข้ามวัน ซึ่งช่วยปิดความเสี่ยง เรื่องการกระโดดของราคาซื้อขาย (Gap) ในช่วงที่ตลาดปิดทำการ แล้วมีข่าวหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พร้อมตั้งคำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดความเสี่ยงในจุดที่คำนวณเอาไว้ด้วย
ซึ่งคุณฝาใช้ TFEX เป็นเครื่องมือในการสร้าง Cash Flow ระยะสั้น เพื่อหล่อเลี้ยงพอร์ต ในฐานะนักลงทุน Full Time ส่วนการลงทุนระยะยาวหรือรอบใหญ่ จะใช้การซื้อหุ้นตัวใหญ่ ๆ แทน
อย่างไรก็ดี สำหรับ Options ใน TFEX ก็สามารถใช้เพื่อการลงทุนระยะยาวได้ โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง แทนที่จะใช้ Futures ที่อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า
“เปรียบเทียบการลงทุน vs การซื้อบ้าน-คอนโด”
ซื้อหุ้น = ใช้เงินซื้อบ้านทั้งหลัง
เทรด Futures = วางเงินดาวน์ ก่อนซื้อทั้งหลัง
ซื้อ Options = ซื้อใบจอง
ซื้อหุ้น = ใช้เงินซื้อบ้านทั้งหลัง
เทรด Futures = วางเงินดาวน์ ก่อนซื้อทั้งหลัง
ซื้อ Options = ซื้อใบจอง
ดังนั้น อย่างการซื้อ SET50 Options ในตลาด TFEX ที่ใช้เงินลงทุนน้อย และความเสี่ยงถูกจำกัดแค่เงินที่เราจ่ายซื้อ Options ไปเท่านั้น. หากตลาดวิ่งไปในทิศทางที่เราคาดไว้ เราก็สามารถทำกำไรได้เหมือนกับการใช้ Futures
ซึ่งในมุมของคุณฝา มองว่า Options สามารถใช้ได้ดี โดยช่วงที่ตลาดมีเทรนด์ และผันผวนสูง (High Volatility) สามารถ Long Options เพื่อทำกำไรจาก Big Move ของตลาดได้
ส่วนช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำ (Low Volatility) หรือ Sideway นิ่ง ๆ ไม่ไปไหน การขาย Short Options ก็ทำกำไรได้
พูดง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าตลาดจะ “นิ่ง” หรือ “วิ่ง” ก็สามารถทำกำไรได้ทุกจังหวะด้วย Options
นอกจากนี้ คุณฝายังได้แชร์มุมมองการใช้ TFEX ให้สามารถสร้างผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด ไว้ง่าย ๆ เช่น
ให้เลือกใช้วิธีที่เทรดแล้วเราทำได้ดี และเหมาะกับ Mindset ของเรา เทรดแล้วสบายใจ ไม่เครียดหรือกังวล แล้วก็ค่อย ๆ พัฒนา โดยเน้นวิธีที่เราทำซ้ำได้เรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิธีการเดิมใช้ไม่ได้ ก็ต้องค่อย ๆ ปรับวิธีการไปเรื่อย ๆ เพราะการเทรดไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว
โดยเน้นใช้ท่าง่าย ท่าที่ถนัด แต่สามารถทำซ้ำได้ จนชำนาญและเข้าใจจริง ๆ
แล้วมีหลักการบริหารพอร์ต หรือกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์อย่างไร ?
คุณฝาแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ Passive Investment และ Active Trading
Passive Investment เปรียบเสมือนกองหลัง หรือผู้รักษาประตูในกีฬาฟุตบอล
ทำหน้าที่รักษาความมั่งคั่งไม่ให้หายไปไหน และยังขยายพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่อาจจะมีข้อเสียคือ ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ช้า ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสม
Passive Investment ของคุณฝา ประกอบด้วย
- ตราสารหนี้ (Bond) ที่เติบโตด้วยอัตราดอกเบี้ย และรักษาเงินต้นได้ดี
- Index Fund เช่น World Index, S&P 500, SET50 รวมถึง ETF ที่เน้นจ่ายปันผล, หุ้นไทยตัวใหญ่ ที่ซื้อเก็บตอนเกิดวิกฤต และ Cryptocurrency ที่ทยอยลงทุนแบบ DCA
- ตราสารหนี้ (Bond) ที่เติบโตด้วยอัตราดอกเบี้ย และรักษาเงินต้นได้ดี
- Index Fund เช่น World Index, S&P 500, SET50 รวมถึง ETF ที่เน้นจ่ายปันผล, หุ้นไทยตัวใหญ่ ที่ซื้อเก็บตอนเกิดวิกฤต และ Cryptocurrency ที่ทยอยลงทุนแบบ DCA
เทคนิคที่น่าสนใจคือ คุณฝามักจะบริหารพอร์ตด้วยการ Rebalance เพื่อให้สัดส่วนกลับมาเท่าเดิมเสมอ โดยกลยุทธ์ของคุณฝาจะคงสัดส่วนของหุ้นใน Passive Investment ไม่เกิน 50%.
หากส่วนของหุ้นโตเกิน 50% ก็จะขายทำกำไรออกมา หากส่วนหุ้นตกลงมา ก็จะนำเงินส่วนอื่นมาซื้อเพิ่ม. ซึ่งเป็นการบังคับ ซื้อถูก ขายแพง โดยไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด
ต่อมาคือส่วนของ Active Trading
คุณฝามีความเชื่อว่าไม่มีกลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถเอาชนะได้ในทุกภาวะตลาด แต่เราสามารถมีหลาย ๆ กลยุทธ์ ที่ผสมรวมกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ จึงได้แบ่งมิติของตลาดออกเป็นแบบต่าง ๆ ตามแกน Trend ของตลาด (ตลาดมี Trend หรือ Sideway) และ ความผันผวนของตลาด (สูงหรือต่ำ) และปรับใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกัน เช่น
1. ช่วงตลาด Sideway และมีความผันผวนสูง : กลยุทธ์ที่ใช้ จะเป็น Day Trade และ Scalping ผ่านเครื่องมืออย่าง Futures ในตลาด TFEX ซึ่งเหมาะกับการทำกำไรจาก Movement ของราคา ที่วิ่งกลับไปกลับมาในกรอบ
2. ช่วงตลาดมี Trend และมีความผันผวนสูง : กลยุทธ์ที่ใช้ เน้นการ Long Options ในตลาด TFEX ที่มีจุดเด่นในด้านการจำกัดความเสี่ยง และมีโอกาสทำกำไรได้สูงเหมือน Futures
3. ช่วงตลาดไม่มี Trend ใด ๆ (Sideways) และความผันผวนต่ำ หรือก็คือช่วงที่ตลาดเงียบเหงา : กลยุทธ์ที่ใช้ ก็จะเป็นการขาย Short Options เพื่อกินกำไรจากค่าพรีเมียมของสัญญา ในช่วงที่ตลาดนิ่ง ๆ
ทั้งนี้ คุณฝาจะเทรดทั้ง 3 กลยุทธ์ไปพร้อมกัน หากช่วงไหนกลยุทธ์ใดแพ้ตลาด ก็จะลด Position หรือ หยุดเทรดกลยุทธ์นั้นไป
โดยในช่วงเริ่มต้นของการสร้างพอร์ตลงทุน จะเน้นการจัดพอร์ตแบบ Active Trading เป็นหลัก แต่เมื่อพอร์ตเริ่มโตแล้ว ก็จะปรับให้ Passive Investment มีสัดส่วนมากขึ้นหรือกลายเป็นส่วนหลักของพอร์ตแทน
สุดท้าย คุณฝาได้เน้นย้ำเรื่องของวินัยและการวางแผน ซึ่งต้องมีการกำหนดรูปแบบและวิธีการให้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเข้าเทรด
โดยต้องวางแผนไว้ 2 ด้านเสมอว่า “ถ้าขึ้นจะเป็นอย่างไร" และ "ถ้าลงจะเป็นอย่างไร" และกำหนดจุดที่ถือว่า "มองผิดทาง" เพื่อเปลี่ยนแผน ซึ่งการมีวินัยตามแผนนี้จะช่วยป้องกันพอร์ตแตกในตลาดนี้ได้
นอกจากนี้ ยังควรใช้ Leverage ให้ต่ำกว่าปกติ เพื่อรองรับการเหวี่ยงของตลาด
และถ้าจะเสี่ยง ก็ให้ใช้กำไรมาเสี่ยง โดยเริ่มจากเงินน้อย ๆ ถ้ากำไร ถึงค่อยเอากำไรมาเป็นส่วนเพิ่มของเงินลงทุน
เช่น เทรด Futures 1 สัญญา แล้วกำไร
ก็ค่อยนำกำไรนั้นมาลงทุนเพิ่มจำนวนสัญญาที่เทรด ในสัญญาที่ 2 หรือ 3 ไปเรื่อย ๆ
ก็ค่อยนำกำไรนั้นมาลงทุนเพิ่มจำนวนสัญญาที่เทรด ในสัญญาที่ 2 หรือ 3 ไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าเทรดแย่ ผลตอบแทนไม่ดี ก็ควรปรับลดสัญญาการเทรดตามเงินทุนที่เหลืออยู่
หรือก็คือ ได้มาก ก็เทรดมากขึ้น แต่ถ้าเสียมาก ก็เทรดน้อยลงตามเงินทุนที่มีนั่นเอง (ไม่ Overtrade)
และในกรณีที่ขาดทุนหรือภาพรวมดูแย่ ไม่ว่ากลยุทธ์ไหนก็เทรดเสีย ก็ควรหยุดเทรดเพื่อรอจังหวะการเทรดใหม่
เพราะตลาดมี Cycle ทั้งช่วงที่ดีและแย่ ไม่ควรไปทุ่มอะไรมากในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจ หรือก็คือต้องรอให้เป็น เทรดช้า ๆ แต่ชนะเรื่อย ๆ และพอร์ตเติบโตอย่างมั่นคงดีกว่า..