
จีน เบอร์ 1 ผลิต “สารตั้งต้นยา” ผู้คุมซัปพลายเชนยาของโลก
จีน เบอร์ 1 ผลิต “สารตั้งต้นยา” ผู้คุมซัปพลายเชนยาของโลก /โดย ลงทุนแมน
ประเทศจีน โรงงานผลิตสินค้าทุกอย่างให้กับทั่วโลก ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ประเทศจีน โรงงานผลิตสินค้าทุกอย่างให้กับทั่วโลก ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
แต่รู้ไหมว่า มีอีกหนึ่งอย่างที่จีนกุมอำนาจการผลิตไว้ในมือแบบแทบไร้คู่แข่ง นั่นคือ สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือ “สารตั้งต้นยา” ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของยาทุกชนิด
หมายความว่า ยาที่เรากินกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจากจีนทั้งนั้น
แล้วเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
สารตั้งต้นยา มีศัพท์ภาษาอังกฤษทางการว่า Active Pharmaceutical Ingredient หรือ API ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในตัวยาที่ให้ผลทางการรักษากับร่างกาย
ตัวอย่างชื่อที่หลายคนน่าจะเคยได้ยิน เช่น
- พาราเซตามอล เป็นสาร API ในยาแก้ปวดลดไข้ Tylenol, Sara
- อะม็อกซิซิลลิน เป็นสาร API ในยาปฏิชีวนะ
- แอสไพริน เป็นสาร API ในยาลดไข้และลดการอักเสบ
- พาราเซตามอล เป็นสาร API ในยาแก้ปวดลดไข้ Tylenol, Sara
- อะม็อกซิซิลลิน เป็นสาร API ในยาปฏิชีวนะ
- แอสไพริน เป็นสาร API ในยาลดไข้และลดการอักเสบ
ซึ่งต้องบอกว่าในปัจจุบัน ประเทศที่เป็นผู้ผลิตสาร API รายใหญ่สุดของโลก ก็คือ จีน
สาเหตุเพราะตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลจีนได้มีนโยบายผลักดันอุตสาหกรรมต้นน้ำทางยาไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ
โดยใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านแรงงานและสาธารณูปโภคราคาถูก รวมไปถึงสนับสนุนด้านเงินทุนและภาษีให้กับผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้จีนสามารถผลิตสาร API สำหรับยาเฉพาะทางและยาสามัญ ได้ในปริมาณมาก จนเกิดเป็น Economies of Scale และมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศอื่นมาก
และต่อมา พอจีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างเป็นทางการในปี 2001 ก็เปิดโอกาสให้มีการส่งออกสาร API สู่ตลาดโลก และพัฒนาคุณภาพการผลิตให้รองรับมาตรฐานของนานาชาติมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จีนจึงสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งจากประเทศอื่นมาได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ตลาดสาร API มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 8.05 ล้านล้านบาท ซึ่งจีนก้าวขึ้นมาครองสัดส่วนการผลิตได้มากสุดอยู่ที่ราว 44% ของการผลิตทั้งหมด
ขณะที่ผู้เล่นที่ใหญ่รองลงมา คือ อินเดีย มีสัดส่วนการผลิตอยู่เพียง 20% ของการผลิตทั้งหมด น้อยกว่าจีนเกินสองเท่า
และถ้าเจาะลึกลงไปเฉพาะตลาดสาร API สำหรับกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2.55 ล้านล้านบาทนั้น
ปรากฏว่า จีนครองสัดส่วนการผลิตสูงถึงราว 80% หรือเกือบทั้งโลกเลยทีเดียว
โดยประเทศที่นำเข้าสาร API จากจีนมากสุด เมื่อปี 2024
อันดับ 1 อินเดีย มูลค่า 198,000 ล้านบาท
อันดับ 2 สหรัฐฯ มูลค่า 146,000 ล้านบาท
อันดับ 3 เกาหลีใต้ มูลค่า 68,000 ล้านบาท
อันดับ 4 บราซิล มูลค่า 65,000 ล้านบาท
อันดับ 5 ญี่ปุ่น มูลค่า 62,000 ล้านบาท
อันดับ 2 สหรัฐฯ มูลค่า 146,000 ล้านบาท
อันดับ 3 เกาหลีใต้ มูลค่า 68,000 ล้านบาท
อันดับ 4 บราซิล มูลค่า 65,000 ล้านบาท
อันดับ 5 ญี่ปุ่น มูลค่า 62,000 ล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ แม้แต่สหรัฐฯ ที่เป็นประเทศคู่แข่งทางการค้ากันอยู่ ก็ยังต้องพึ่งพาสารตั้งต้นยาจากจีนอย่างมาก
เพราะยากว่า 700 ชนิด ที่ผลิตในสหรัฐฯ ใช้สาร API อย่างน้อย 1 ชนิด ที่นำเข้าจากจีนเพียงแห่งเดียว
ตัวอย่างเช่น อะม็อกซิซิลลิน ที่เป็นยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้กันมากสุดในสหรัฐฯ นั้นใช้สาร API 4 ชนิด ที่นำเข้ามาจากจีนทั้งหมดเลย
ถึงแม้จีนยังไม่เคยใช้เรื่องสารตั้งต้นยา มาเป็นเครื่องมือต่อรองในสงครามการค้าอย่างเปิดเผยก็ตาม
แต่สหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ ก็ตระหนักถึงความเสี่ยงที่จีนอาจจำกัดหรือระงับการส่งออกเมื่อใดก็ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขของตนเองอย่างแน่นอน
ทำให้หลายประเทศพยายามฟื้นฟูการผลิตสาร API ภายในประเทศ หรือกระจายการจัดหาไปในหลากหลายแหล่งมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่าแหล่งผลิตอื่น ยังแข่งขันกับต้นทุนของจีนได้ยาก เพราะตอนนี้จีนขายสาร API หลายชนิด ได้ในราคาที่ถูกกว่าประเทศคู่แข่งเกือบครึ่งหนึ่ง
ผลที่ตามมาคือ ประเทศเหล่านั้นก็อาจต้องปรับเพิ่มราคายาตามต้นทุนสารตั้งต้น โดยเฉพาะกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชนในประเทศนั่นเอง
นี่คงเป็นอีกความท้าทายที่โลกควรจับตาดูไม่น้อย
ทุกวันนี้หลายฝ่ายกำลังติดตามสถานการณ์เรื่องการกีดกัน เทคโนโลยี AI หรือชิปประมวลผล ระหว่างสหรัฐฯ-จีน
แต่อีกมุมหนึ่ง จีนกลับถือไพ่ในมืออีกใบ ที่มีความสำคัญต่อโลกและใกล้ตัวเราไม่แพ้กัน นั่นคือ การควบคุมต้นน้ำของห่วงโซ่การผลิตยารักษาโรคไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง
ซึ่งมันอาจถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อรองอำนาจทางเศรษฐกิจได้ทุกเมื่อ
ถ้าสักวันหนึ่ง จีนเกิดปิดวาล์วการส่งออกสารตั้งต้นยาขึ้นมา โลกอาจเผชิญกับภาวะราคายาแพงขึ้นมหาศาล หรือเกิดวิกฤติการขาดแคลนยาในตลาดเลยก็เป็นได้..