วิกฤตใหม่ของโลก “ความสัมพันธ์ จีน-ญี่ปุ่น” เป็นสิ่งที่ต้องจับตาที่สุดในเวลานี้

วิกฤตใหม่ของโลก “ความสัมพันธ์ จีน-ญี่ปุ่น” เป็นสิ่งที่ต้องจับตาที่สุดในเวลานี้

วิกฤตใหม่ของโลก “ความสัมพันธ์ จีน-ญี่ปุ่น” เป็นสิ่งที่ต้องจับตาที่สุดในเวลานี้ และประเทศไทย จะได้-เสียประโยชน์ อะไรบ้างจากเรื่องนี้ ? /โดย ลงทุนแมน
เรื่องใหญ่ในตอนนี้ ของญี่ปุ่น เดิมทีควรจะเป็นปีทองของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น และค่าเงินเยนที่ยังจูงใจมาก
แต่แล้ว ในเดือนตุลาคม 2025
จุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น
เมื่อญี่ปุ่นได้ผู้นำคนใหม่ คือ "ซานาเอะ ทาคาอิจิ"
เธอไม่ใช่แค่ "นายกฯ หญิงคนแรก"
แต่เธอยังพกพาจุดยืนทางการเมืองที่แข็งกร้าว
โดยเฉพาะกับประเด็นเรื่อง "ความมั่นคง"
และสิ่งที่หลายฝ่ายกังวล ก็เกิดขึ้นจริงในเดือนพฤศจิกายน
เมื่อคำพูดเพียงไม่กี่คำในสภา กลายเป็น "ระเบิดเวลา" ลูกใหญ่
เกิดอะไรขึ้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ชนวนเหตุเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2025
นายกฯ ทาคาอิจิ ได้กล่าวในรัฐสภาญี่ปุ่น โดยมีใจความสำคัญว่า..
ไต้หวันเป็น "เรื่องสำคัญของประชาคมโลก" และ "กังวลอย่างรุนแรง" ต่อการเคลื่อนไหวของกองทัพจีน รวมไปถึงยืนยันจะเร่งสร้าง "พลังป้องปราม" (สะสมอาวุธ) ร่วมกับสหรัฐฯ
ประโยคนี้ เปรียบเสมือนการ "ข้ามเส้น" ที่จีนขีดไว้ชัดเจนที่สุด
เพราะจีนถือว่าไต้หวันคือเรื่องภายใน และห้ามใครแทรกแซงเด็ดขาด
ผลที่ตามมาคือ "ความโกรธเกรี้ยว" จากปักกิ่งทันที
จีนไม่ได้ตอบโต้แค่การประท้วงทางการทูต
แต่เลือกใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่เจ็บปวดที่สุด นั่นคือ "นักท่องเที่ยว"
กลางเดือนพฤศจิกายน
กระทรวงการต่างประเทศจีน ออกประกาศเตือนพลเมืองให้ "ชะลอการเดินทางไปญี่ปุ่น"
โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัยจากสถานการณ์ที่ตึงเครียด
และนี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้นทันที ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์
1. ยอดจองทัวร์หายวูบ 30%
จากข้อมูลบริษัทท่องเที่ยว พบว่าทริปที่จองล่วงหน้าสำหรับเดือนธันวาคมกว่า 1.4 ล้านทริป
ถูกยกเลิกไปแล้วถึง 30% หรือประมาณ 4-5 แสนทริป
2. ตั๋วเครื่องบินถูกเทกระจาด
มีรายงานว่าตั้งแต่ 15 พ.ย. เป็นต้นมา
มีการยกเลิกตั๋วเครื่องบินจากจีนไปญี่ปุ่นรวมกว่า 540,000 ใบ
สายการบินจีนเริ่มลดจำนวนเที่ยวบิน และเปลี่ยนเอาเครื่องลำเล็กมาบินแทน
3. คำสั่ง "แช่แข็ง" ยาวข้ามปี
มีข่าววงในระบุว่า รัฐบาลจีนสั่งให้สายการบิน "ลดเที่ยวบิน" ไปญี่ปุ่น ลากยาวไปจนถึง มีนาคม 2026
นั่นแปลว่า ญี่ปุ่นกำลังจะเสียรายได้จากช่วง "ตรุษจีน" ซึ่งเป็นนาทีทองที่สุดไปอย่างน่าเสียดาย
นักวิเคราะห์ประเมินความเสียหายระยะสั้นไว้ที่ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท)
แต่ถ้ายืดเยื้อไปถึงปีหน้า ตัวเลขอาจพุ่งไปแตะ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่บริษัททัวร์
แต่แบรนด์หรูในย่านกินซ่า ร้านขายยาที่คนจีนชอบเหมา และร้านอาหาร กำลังนั่งตบยุง มองดูยอดขายที่หายไป
รวมไปถึงหุ้นญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทั้งหมดก็ร่วงระนาว
ประเด็นที่น่าสนใจคือ..
เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 2025) และต่อเนื่องถึงวันนี้
เป็นประเด็นใหญ่ที่สะเทือนวงการ Soft Power ญี่ปุ่นอย่างจัง
ถ้านึกว่าการแบนนักท่องเที่ยวคือจุดพีกแล้ว.. คุณคิดผิด เพราะ "สงครามเย็น" รอบนี้ ลามไปถึงเวทีคอนเสิร์ต
เกิดเหตุการณ์ช็อกวงการบันเทิงเอเชียที่ เซี่ยงไฮ้
เมื่อคอนเสิร์ตของศิลปินดังระดับตำนานอย่าง "อายูมิ ฮามาซากิ"
และงาน Bandai Namco Festival 2025
ที่ขนทัพศิลปินอนิเมะดัง อย่าง Maki Otsuki (เจ้าของเพลง One Piece) และวงไอดอล Momoiro Clover Z
ถูก "สั่งยกเลิกกะทันหัน"
ชนิดที่บางงาน ศิลปินกำลังร้องอยู่บนเวที.. จู่ๆ "ไฟก็ดับ"
และถูกเจ้าหน้าที่เชิญลงจากเวทีทันที
เหตุผลที่ได้รับแจ้งมีเพียงสั้นๆ ว่า "เหตุสุดวิสัย"
แต่ทุกคนรู้ดีว่า นี่คือ "ใบสั่ง" จากความขัดแย้งทางการเมือง
การกระทำนี้ของจีน ถือเป็นการหยามญี่ปุ่น และ "เชือดไก่ให้ลิงดู" เพื่อส่งสัญญาณว่า ญี่ปุ่นจะไม่ได้แค่เสียเงินจาก "นักท่องเที่ยว"
แต่ "Soft Power" ที่ญี่ปุ่นภาคภูมิใจ ทั้งเพลง, อนิเมะ, และวัฒนธรรม J-POP ก็จะถูก "ปิดประตู" ในตลาดจีนที่มีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน
จากเดิมที่ศิลปินญี่ปุ่น หวังจะโกยเงินหยวนจากแฟนคลับชาวจีน
ตอนนี้กลายเป็นว่า แม้แต่เวทีจะยืน ก็ยังไม่มี
นี่คือราคาที่ญี่ปุ่นต้องจ่าย..
เมื่อการเมือง สะเทือนถึง Soft Power
สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่น ในเดือน พฤศจิกายน 2025

การท่องเที่ยว ทัวร์จีนหาย 30%, เครื่องบินลดเที่ยวบินยาวถึงปีหน้า
Soft Power คอนเสิร์ตถูกสั่งปิดกลางอากาศ, งานอนิเมะถูกยกเลิก

ความเชื่อมั่น ภาคธุรกิจเริ่มไม่มั่นใจทิศทางความสัมพันธ์
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน
หลังจากผู้นำประกาศจุดยืนเรื่อง "ไต้หวัน"
คำถามคือ.. ญี่ปุ่นจะยอม "กลืนเลือด" เพื่อแลกกับความมั่นคง
หรือจะยอม "ถอย" เพื่อกู้เศรษฐกิจ ?
เป็นเกมวัดใจ ที่เราทุกคนต้องจับตามอง..
เมื่อยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 และเบอร์ 3 ของโลกเปิดศึกกัน
หลายคนอาจมองว่า "ไทย" ที่เป็นคนกลาง น่าจะลอยตัว
แต่ความจริงแล้ว
เรากำลังยืนอยู่บนปากเหว ที่มีทั้ง "ทองคำ" และ "หลุมพราง"
ลงทุนแมน จะวิเคราะห์ให้เห็นภาพชัดๆ ว่า
ไทยได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์อะไรบ้าง จากเรื่องนี้
ฝั่งที่ "ได้"
1. ส้มหล่นลูกใหญ่ คือ นักท่องเที่ยวจีนไหลเข้าไทย
เมื่อคนจีน 1.4 ล้านทริป ยกเลิกตั๋วไปญี่ปุ่น
คำถามคือ.. เขาจะเอาวันลาพักร้อน และเงินในกระเป๋าไปลงที่ไหน ?
คำตอบแรกคือ "ไทย"
เพราะเรามีจุดแข็งคือ "ฟรีวีซ่า" ที่ถาวรและแข็งแกร่ง
แถมระยะบินใกล้ ค่าครองชีพถูก และคนจีนรู้สึก "เป็นมิตร" มากกว่า
คาดการณ์ว่า ในเดือนธันวาคม 2025 - มกราคม 2026 ไทยอาจได้รับอานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจีนที่ "Switch" มาจากญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นราวๆ 15-20% จากเป้าปกติ โดยเฉพาะเมืองหลักอย่าง กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่
2. ไทย = หลุมหลบภัย ของ "คอนเสิร์ตและอิเวนต์"
จากเหตุการณ์ที่คอนเสิร์ตญี่ปุ่นถูก "สับคัทเอาท์" กลางงานที่เซี่ยงไฮ้
ผู้จัดงานทั่วเอเชีย กำลังมองหา "เวทีที่เป็นกลาง"
ไทยมีความพร้อมเรื่องสถานที่ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้ง J-Pop และ C-Pop
เป็นไปได้สูงที่คอนเสิร์ตญี่ปุ่น หรือ Fan Meeting ศิลปิน จะย้ายฐานการจัดงานมาที่กรุงเทพฯ แทน เพื่อเลี่ยงความเสี่ยง
3. ญี่ปุ่นย้ายฐานผลิตออกจากจีน เร็วขึ้น
ทุนญี่ปุ่นที่ยังลังเลว่าจะย้ายออกจากจีนดีไหม ?
เหตุการณ์นี้คือ "ตัวเร่ง" ชั้นดี
นโยบาย "China Plus One" จะเข้มข้นขึ้นทันที
และไทย คือเป้าหมายหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
ฝั่งที่ "เสีย"
1. ห่วงโซ่การผลิตอาจ "ชะงัก" ถ้าเหตุการณ์รุนแรง
รู้ไหมว่า..
ชิ้นส่วนรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่ประกอบในไทย
"วัตถุดิบต้นน้ำ" จำนวนมาก นำเข้ามาจากจีน
ถ้าจีนเล่นบทโหด แบนการส่งออกวัตถุดิบหายากให้ญี่ปุ่น
หรือกักกันสินค้าชิ้นส่วนที่บริษัทญี่ปุ่นสั่งผลิตในจีน
โรงงานในไทย อาจต้องหยุดไลน์ผลิต เพราะขาดชิ้นส่วนสำคัญ
2. ต้นทุนค่าระวางเรือ พุ่งสูง
ความตึงเครียดในทะเลจีนตะวันออก และช่องแคบไต้หวัน ทำให้เส้นทางเดินเรือหลักของโลก เข้าสู่โซนอันตราย
บริษัทประกันภัยทางทะเล จะปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยความเสี่ยงภัยสงคราม ส่งผลให้ "ค่าระวางเรือ" ที่ไทยต้องใช้ส่งออกสินค้า พุ่งสูงขึ้น กระทบกำไรผู้ส่งออกไทยทันที
สรุปแล้ว
ในระยะสั้น (1-3 เดือน) ไทยน่าจะได้ประโยชน์มหาศาลจาก "ภาคการท่องเที่ยว" ที่ไหลทะลักเข้ามาแทนที่ญี่ปุ่น
แต่ระยะยาวถ้าความขัดแย้งรุนแรงขึ้นไปกระทบภาคอุตสาหกรรมการผลิต ประเทศไทยที่อยู่ใจกลางห่วงโซ่ จะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ
เรื่องนี้อาจสอนให้รู้ว่า
ในวิกฤตของเพื่อนบ้าน มีโอกาสของเราซ่อนอยู่
แต่ก็อาจมี "สะเก็ดระเบิด" ที่พร้อมจะกระเด็นมาโดนเราได้ทุกเมื่อ..
ถ้าลงทุนแมนเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้ ที่จะวางตัว และมีกลยุทธ์อะไร ให้ประเทศไทย ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ภายใต้การจัดการความเสี่ยงที่รอบด้าน
ไม่แน่ว่าจุดนี้อาจทำให้ประเทศไทยฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จากภาวะโคม่าที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon