
เข้าใจความสัมพันธ์เศรษฐกิจ ญี่ปุ่น-ไต้หวัน ครบจบในโพสต์เดียว
ครั้งหนึ่ง ญี่ปุ่น คือ หัวรถจักร ที่ฉุดลากเศรษฐกิจเอเชีย และเป็นผู้ผลักดันให้ไต้หวันกลายเป็น เสือเศรษฐกิจ ในทศวรรษ 1980
แต่ใครจะคิดว่า วันนี้ภาพนั้นจะกลับกัน..
เมื่ออุตสาหกรรมชิปขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ กลายเป็น ญี่ปุ่นเป็นผู้ที่ต้องเกาะห่วงโซ่การผลิตชิปขั้นสูงของไต้หวัน
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในขั้นต้นของห่วงโซ่อุตสาหกรรม ตั้งแต่วัสดุเซมิคอนดักเตอร์ สารเคมีพิเศษ ไปจนถึงเครื่องจักรสำคัญที่ใช้ผลิตชิป ทำให้ไต้หวันก็ขาดญี่ปุ่นไม่ได้เช่นกัน
ทำไมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ ถึงสลับขั้ว แต่ตัดขาดกันไม่ได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าย้อนดูเส้นทางเศรษฐกิจของไต้หวัน จะเห็นว่า “ญี่ปุ่น” มีบทบาทสำคัญกว่าที่หลายคนคิด
เพราะตั้งแต่ปี 1895 ที่ไต้หวันตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น ได้ทำให้ไต้หวันมีการพัฒนาประเทศครั้งใหญ่
ญี่ปุ่นสร้างระบบชลประทาน โรงไฟฟ้า ทางรถไฟ และท่าเรือ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรกลับไปยังจักรวรรดิ พร้อมวางระบบการศึกษาภาคบังคับ และการฝึกทักษะฝีมือแรงงาน ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
พูดง่าย ๆ คือ ไต้หวัน มีทั้งแรงงานคุณภาพ และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมต่อยอดอุตสาหกรรมอยู่ก่อนแล้ว
แม้ต่อมา ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้และหมดอำนาจปกครองไต้หวันในปี 1945 แต่สิ่งที่ญี่ปุ่นสร้างไว้ กลายเป็นแต้มต่อให้ไต้หวันใช้ต่อยอดประเทศได้ในอนาคต
พอหลังสงครามจบลง ญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยช่วงปี 1950-1969 เศรษฐกิจญี่ปุ่นโตเฉลี่ย 10% ต่อปี ส่งผลให้รายได้แรงงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามมาเช่นกัน
ทำให้ญี่ปุ่นเสียเปรียบการแข่งขันในการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น (Labour-Intensive Production) อย่างเช่น สิ่งทอ หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนต่ำ เป็นต้น
บริษัทญี่ปุ่นจึงย้ายฐานการผลิต ไปยังประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ อย่างเช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ รวมไปถึงไต้หวัน
เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีความพร้อมในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ที่ยังมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า
ซึ่งการที่บริษัทญี่ปุ่นเลือกย้ายฐานการผลิต เพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกนี้เอง
ในอีกด้านหนึ่ง กลายเป็นแรงหนุนสำคัญ ที่ทำให้ไต้หวันสามารถปรับโมเดลเศรษฐกิจ ไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออก ได้อย่างจริงจังและสำเร็จในที่สุด
ในทศวรรษ 1960 ไต้หวันผลิตและส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนรายได้จากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม แซงหน้าน้ำตาล ซึ่งเคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ
ทั้งนี้ การเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไต้หวัน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมาก โดยมูลค่าการส่งออกของไต้หวันเติบโตขึ้นอย่างมาก เฉลี่ยถึงปีละ 35% ในระหว่างปี 1960-1970
ทว่าเมื่อไต้หวันมีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างร้อนแรง ทำให้เริ่มเสียเปรียบในการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ไม่ต่างจากญี่ปุ่น
นอกจากนี้ การที่ไต้หวันถูกถอดจากสมาชิกสหประชาชาติ (UN) ในปี 1971 ทำให้ต้องเผชิญทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง และข้อจำกัดด้านการค้าในเวทีระหว่างประเทศ
กลายเป็นอีกหนึ่งข้อเสียเปรียบสำคัญของไต้หวันในช่วงเวลานั้นอีกด้วย
แต่ความท้าทายเหล่านั้น ก็เป็นแรงบีบให้รัฐบาลไต้หวัน ต้องทะเยอทะยานมากขึ้น
สะท้อนผ่านแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ อาทิ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ 10 แห่ง (Ten Major Construction Projects) และการผลักดันการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D)
และเมื่อรวมกับองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรมที่สั่งสมมาตลอดหลายทศวรรษ ไต้หวันจึงสามารถยกระดับไปสู่การผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อนสูงขึ้น ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงการขยายสู่อุตสาหกรรมใหม่ อย่างเคมีภัณฑ์ได้สำเร็จ
ในช่วงระยะเวลานี้ ญี่ปุ่นยังคงมีบทบาทในเศรษฐกิจไต้หวัน โดยเป็นผู้สนับสนุนเงินทุน รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ผ่านการส่งออกสินค้าทุนและเครื่องมือในการผลิต ให้กับไต้หวัน
ทั้งหมดนี้ ทำให้ไต้หวันสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงได้ต่อเนื่อง
โดยระหว่างทศวรรษ 1960-1980 เศรษฐกิจไต้หวันโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ซึ่งเรียกกันว่า “ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจไต้หวัน”
เพราะจากประเทศที่เคยพึ่งพาเกษตรกรรม กลับยกระดับตัวเองจนกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของเอเชีย
และเมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ไต้หวันก็ได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งใน “เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย” ร่วมกับเกาหลีใต้ ฮ่องกง และสิงคโปร์
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นและไต้หวัน ในช่วงนั้น สอดคล้องกับ “ทฤษฎีฝูงห่านบิน” (Flying Geese Theory)
ที่อธิบายว่า ประเทศในเอเชียจะพัฒนาเศรษฐกิจแบบเป็นขบวน โดยมีญี่ปุ่นเป็นห่านตัวนำ แล้วประเทศถัดมาค่อยรับไม้ต่อ
ซึ่งในยุค 1960-1980 ญี่ปุ่นคือผู้นำเทคโนโลยีการผลิต ส่วนไต้หวันเป็นผู้ตามที่รับการผลิตสินค้าต้นทุนต่ำกว่า ก่อนจะค่อยไต่ระดับขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะที่ถ้าย้อนกลับมามองในปัจจุบัน ภาพนั้นกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
วันนี้ ไต้หวัน คือ ผู้นำด้านการผลิตชิประดับโลก ผ่านโรงงานผลิตชิปอย่าง TSMC ที่ถือเป็น “ห่านตัวนำ” ในเทคโนโลยีขั้นปลาย (Downstream) เช่น การผลิตชิปที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก
แต่ญี่ปุ่น ซึ่งในอดีตเป็นผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ กลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในขั้นต้นของห่วงโซ่อุตสาหกรรมชิป (Upstream) ตั้งแต่วัสดุเซมิคอนดักเตอร์ สารเคมีพิเศษ ไปจนถึงเครื่องจักรสำคัญที่ผู้ผลิตชิปทั่วโลกต้องพึ่งพา
ขณะเดียวกัน ไต้หวันที่เคยรับการลงทุนจากญี่ปุ่น วันนี้กลับเป็นฝ่ายเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่นแทน โดยเฉพาะโรงงานชิปของ TSMC ในญี่ปุ่น
สถานการณ์นี้ นับว่าเป็นการกลับขั้วของทฤษฎีฝูงห่านบิน
แต่ไม่ว่าใครจะนำ หรือใครจะตาม สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม คือ ทั้งสองต่างเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกันและกัน
ญี่ปุ่นที่มีความแข็งแกร่งในเทคโนโลยีวัสดุ เครื่องจักร และองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรม ขณะที่ไต้หวันมีความได้เปรียบในการผลิตชิประดับสูง
เมื่อจุดแข็งของสองฝั่งมาบรรจบกัน จึงเกิดเป็น “พันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ทรงพลัง”
ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชิป แต่ยังกระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของทั้งเอเชีย และเศรษฐกิจโลกโดยรวม
และนี่คือความสัมพันธ์ที่พัฒนา จากอดีตที่เคยเป็น “ผู้นำ-ผู้ตาม” กลายมาเป็น พาร์ตเนอร์ยุทธศาสตร์ ที่เสริมกันและกันอย่างกลมกลืนมากที่สุดคู่หนึ่งของเอเชียในปัจจุบัน..
References
- Britannica
- CommonWealth Magazine (vol. 793)
- Council for Economic Planning and Development, Republic of China (Taiwan)
- HKU Business School, (Heiwai Tang, Ms Shuyi Long, and Beining Liu)
- Institute of Developing Economies, (Satoru Okuda)
- Meijo University, (Kuan-Yu Hsieh and Yuri Sadoi)
- Maryland Journal of International Law, (Norma Schroder)
- South Dakota State University, (Wenchen Rosa Lee)
- National Bureau of Economic Research, (Robert E. Baldwin and Douglas Nelson)
- The101.world, (แบ๊งค์ งามอรุณโชติ)
- The101.world, (ปิติ ศรีแสงนาม)
- The101.world, (วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร)
- Britannica
- CommonWealth Magazine (vol. 793)
- Council for Economic Planning and Development, Republic of China (Taiwan)
- HKU Business School, (Heiwai Tang, Ms Shuyi Long, and Beining Liu)
- Institute of Developing Economies, (Satoru Okuda)
- Meijo University, (Kuan-Yu Hsieh and Yuri Sadoi)
- Maryland Journal of International Law, (Norma Schroder)
- South Dakota State University, (Wenchen Rosa Lee)
- National Bureau of Economic Research, (Robert E. Baldwin and Douglas Nelson)
- The101.world, (แบ๊งค์ งามอรุณโชติ)
- The101.world, (ปิติ ศรีแสงนาม)
- The101.world, (วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร)