
สรุปเรื่องการเงิน สำหรับชาวมุสลิม อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ครบจบในโพสต์เดียว
สรุปเรื่องการเงิน สำหรับชาวมุสลิม อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ครบจบในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริหารเงิน คือทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิต
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ และเป็นตัวสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การบริหารเงิน คือทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิต
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ และเป็นตัวสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตด้วย
อย่างไรก็ตาม การเงินอิสลามมีความแตกต่างจากการเงินทั่วไปในบางส่วน
ตรงที่ต้องยึดหลักชะรีอะฮ์ หรือหลักธรรมอันเป็นข้อกำหนดต่าง ๆ ในชีวิตของชาวมุสลิม
ตรงที่ต้องยึดหลักชะรีอะฮ์ หรือหลักธรรมอันเป็นข้อกำหนดต่าง ๆ ในชีวิตของชาวมุสลิม
แล้วการเงินอิสลามคืออะไร และจะบริหารเงินอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เมื่อพูดถึงการบริหารเงิน จุดเริ่มต้นคงไม่พ้น “เงินฝาก”
แต่ชาวมุสลิมจะไม่สามารถฝากเงินในธนาคารทั่วไปได้โดยตรง เพราะว่ามีดอกเบี้ย
ซึ่งดอกเบี้ยถือว่าเป็น ฮารอม หรือสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม
จากมุมมองที่ว่า การเก็บดอกเบี้ย เป็นการลดทอนทรัพย์สินของผู้อื่น
จากมุมมองที่ว่า การเก็บดอกเบี้ย เป็นการลดทอนทรัพย์สินของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันหลายธนาคารมีบริการฝากเงินระบบอิสลามแล้ว
โดยรูปแบบการฝากเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “วะดีอะห์ ยัด เดาะมานะฮ์”
โดยรูปแบบการฝากเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “วะดีอะห์ ยัด เดาะมานะฮ์”
เป็นการฝากเงินที่ผู้ฝากอนุญาตให้สถาบันการเงิน สามารถนำไปลงทุนตามหลักศาสนาอิสลามได้ และสามารถถอนคืนได้เต็มจำนวน แต่จะไม่มีการกำหนดผลตอบแทน
โดยผลตอบแทนที่ได้จะขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนคือ
- สัดส่วนการแบ่งผลตอบแทน (ลูกค้า : ธนาคาร)
- อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของธนาคาร
- อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของธนาคาร
จากเงื่อนไขจะเห็นได้ว่า มันคือการแบ่งกำไร
ดังนั้นผลตอบแทนจึงไม่ใช่ดอกเบี้ย
ดังนั้นผลตอบแทนจึงไม่ใช่ดอกเบี้ย
นี่เองที่เป็นความแตกต่างระหว่าง บัญชีเงินฝากทั่วไป กับ บัญชีเงินฝากระบบอิสลาม
และเมื่อพูดถึงฝั่งผู้ฝากเงินแล้ว ก็ต้องไม่ลืมอีกฝั่งหนึ่ง นั่นคือ “ผู้กู้เงิน”
แต่กระบวนการของธนาคารอิสลาม จะมีความแตกต่างจากธนาคารทั่วไป ตรงที่แทนที่จะเก็บเป็นดอกเบี้ย เปลี่ยนเป็นการใช้ หลักการซื้อขายมุรอบาฮะฮ์ หรือการซื้อมาขายไป ที่มีการเปิดเผยต้นทุนกับกำไรอย่างชัดเจน
โดยธนาคารจะทำหน้าที่ในการซื้อทรัพย์สินที่ลูกค้าต้องการ แล้วนำมาบวกกำไร
หลังจากนั้นจะให้ลูกค้าทำหน้าที่ผ่อนชำระเงินเป็นงวด ๆ
หลังจากนั้นจะให้ลูกค้าทำหน้าที่ผ่อนชำระเงินเป็นงวด ๆ
เพื่อให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างหากเราเป็นชาวมุสลิม และต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน
เราก็จะเริ่มต้นจากการเข้าไปแจ้งความประสงค์กับธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ
ต่อมาธนาคารจะพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามหรือไม่ รวมถึงประเมินความสามารถในการชำระคืนเงินของเราด้วย
ต่อมาธนาคารจะพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามหรือไม่ รวมถึงประเมินความสามารถในการชำระคืนเงินของเราด้วย
หากอนุมัติผ่านแล้ว ธนาคารจะแต่งตั้งให้เราเป็นตัวแทนในการซื้อบ้าน และชำระเงินให้
ดังนั้นบ้านจึงกลายเป็นของธนาคารก่อน หลังจากนั้นธนาคารจะขายบ้านให้กับเรา
ในราคาต้นทุน + กำไร ตามที่ตกลงกันไว้ โดยเราจะชำระเงินแบบผ่อนเป็นงวด ๆ จนครบตามสัญญา
ในราคาต้นทุน + กำไร ตามที่ตกลงกันไว้ โดยเราจะชำระเงินแบบผ่อนเป็นงวด ๆ จนครบตามสัญญา
โดยจะไม่มีการเพิ่มหรือลดกำไร จนครบสัญญา ซึ่งต่างจากอัตราดอกเบี้ยที่สามารถปรับขึ้นหรือลดลงตามภาวะเศรษฐกิจได้ (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัว)
ต่อมาอีกหนึ่งสิ่งที่พอเราเข้าสู่วัยทำงานมักจะใช้กันคือ “บัตรเครดิต”
ข้อดีของบัตรเครดิตมีประโยชน์มากมาย หากเราใช้มันเป็น ตั้งแต่สะดวก, ได้รับส่วนลด, เครดิตเงินคืน, สะสมคะแนน, ได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จนถึงเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
แล้วชาวมุสลิมใช้บัตรเครดิตได้หรือไม่ ?
คำตอบคือ หากไม่มีความจำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิต
เพราะเป็นการทำสัญญาการกู้ยืมเงิน ที่มีการคิดดอกเบี้ย
เพราะเป็นการทำสัญญาการกู้ยืมเงิน ที่มีการคิดดอกเบี้ย
แต่ถ้ามีความจำเป็น ให้ใช้อย่างมีความมั่นใจว่า จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย โดยจะต้องชำระเต็มจำนวนตามกำหนดเวลาเท่านั้น ไม่ชำระเฉพาะขั้นต่ำ
รวมถึงจะต้องไม่กดเงินสดจากบัตรเครดิตหรือใช้บริการกู้ยืมใด ๆ จากวงเงินบัตรเครดิตด้วย..
ส่วนบัตรเดบิต ชาวมุสลิมสามารถใช้ได้อย่างปกติ
ทีนี้พอทำงานสักพักแล้ว หลายคนจะเริ่มอยากลงทุน ให้เงินที่เก็บออมได้เติบโตอย่างรวดเร็ว จะได้สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงในชีวิต
หากพูดถึงสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง คงไม่พ้น “หุ้น” เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ค่อนข้างน่าดึงดูด
แต่หุ้นที่ชาวมุสลิมจะลงทุนได้คือ “หุ้นฮาลาล”
หุ้นฮาลาลคือ หุ้นที่ผ่านการคัดกรองตามหลักศาสนาอิสลาม หรือสอดคล้องกับการลงทุนตามหลักชะรีอะฮ์
หุ้นประเภทใดบ้างที่ไม่ฮาลาล หรือฮารอม ? ซึ่งชาวมุสลิม ลงทุนไม่ได้
1. ธุรกิจที่เป็นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร, ประกันภัย และกลุ่มปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีรายได้จาก “ริบา” หรือดอกเบี้ย
2. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิง เช่น โรงภาพยนตร์, ดนตรี และโรงแรมทั่วไป
อย่างไรก็ดี ชาวมุสลิมก็สามารถลงทุนในกิจการโรงแรมได้ หากนั่นคือ โรงแรมฮาลาล โดยโรงแรมฮาลาลเป็นโรงแรมที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามเท่านั้น
เช่น ไม่มีอาหารที่ทำจากเนื้อหมู, ไม่มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, มีพื้นที่สำหรับการทำละหมาด, ไม่มีสถานบันเทิงภายในโรงแรม และอื่น ๆ อีกมากมาย
3. ธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับสุกร เช่น ฟาร์มสุกร และร้านอาหารที่จัดจำหน่ายเนื้อสุกร
4. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข เช่น ยาสูบ, แอลกอฮอล์ และการพนัน
นอกจากดูประเภทของกิจการแล้ว สิ่งที่ชาวมุสลิมต้องดูต่อมาคือ โครงสร้างทางการเงินของกิจการ
โดยเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินที่ถือว่าขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม เป็นดังนี้
1. หนี้สิน ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 33%
2. ลูกหนี้และเงินสด ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 50%
3. เงินสดและตั๋วเงินชนิดมีดอกเบี้ย ต่อสินทรัพย์รวมสูงกว่า 33%
4. ดอกเบี้ยรวมและรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ต่อรายได้รวมสูงกว่า 5%
2. ลูกหนี้และเงินสด ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 50%
3. เงินสดและตั๋วเงินชนิดมีดอกเบี้ย ต่อสินทรัพย์รวมสูงกว่า 33%
4. ดอกเบี้ยรวมและรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ต่อรายได้รวมสูงกว่า 5%
ซึ่งเกณฑ์ที่กล่าวมา เป็นการตีความจากอัลกุรอาน และเป็นไปตามหลักของชะรีอะฮ์
แม้ว่าเราจะต้องกรองหุ้นหลายส่วน แต่ข่าวดีสำหรับชาวมุสลิมคือ เราไม่ต้อง งมหาว่าหุ้นตัวไหนบ้างที่ฮาลาล เพราะปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่คอยช่วยเหลือในส่วนนี้ให้แล้ว เช่น Musaffa ที่เพียงแค่เซิร์ชชื่อ “หุ้น” หรือ “ETF” ก็บอกได้เลยว่า ฮาลาลหรือไม่
แม้ว่าสุดท้ายเราจะลงทุนในหุ้น ตรงตามประเภทและเกณฑ์โครงสร้างทางการเงินแล้ว
แต่การลงทุนที่ดีตามหลักศาสนาอิสลาม คือต้องตรงกับหลักการมุชาเราะกะฮ์ด้วย
แต่การลงทุนที่ดีตามหลักศาสนาอิสลาม คือต้องตรงกับหลักการมุชาเราะกะฮ์ด้วย
นั่นคือ ซื้อหุ้น เพราะ “อยากเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร”
ซึ่งก็ตรงกับหลักการของนักลงทุนระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น
ซึ่งก็ตรงกับหลักการของนักลงทุนระดับโลกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น
- Warren Buffett มหาเศรษฐี Top 10 ของโลก ที่ร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้น และเป็นต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่าทั่วโลก
- Mohnish Pabrai นักลงทุนเชื้อสายอินเดีย-อเมริกัน ที่โดดเด่นจากการลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูง
- Mohnish Pabrai นักลงทุนเชื้อสายอินเดีย-อเมริกัน ที่โดดเด่นจากการลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูง
แต่จากเหตุผลนี้ ทำให้การใช้มาร์จิน, เดย์เทรด, ออปชัน และฟิวเจอร์ส
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
แล้วตราสารหนี้ต่าง ๆ เช่น หุ้นกู้ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ชาวมุสลิมลงทุนได้หรือไม่ ?
คำตอบก็คือ “ไม่ได้” เพราะนับเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีตราสารหนี้ ที่ชาวมุสลิมสามารถลงทุนได้แล้วเช่นกัน นั่นคือ “ศุกูก”
รูปแบบของศุกูก คือ ผู้ระดมทุนจะต้องขายสินทรัพย์ให้กับนิติบุคคลเฉพาะกิจก่อน ในราคาที่เท่ากับจำนวนเงินที่ต้องการระดมทุน
หลังจากนั้นนิติบุคคลเฉพาะกิจ จึงจะทำการออกตราสารหนี้ เพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุนในเวลาต่อมา
ซึ่งผู้ที่ลงทุนจะมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ต่างจากผู้ถือตราสารหนี้ทั่วไป
ขณะที่ผู้ระดมทุนต้องทำการเช่าสินทรัพย์ ภายในระยะเวลาและอัตราค่าเช่าที่ตกลงกันไว้
ขณะที่ผู้ระดมทุนต้องทำการเช่าสินทรัพย์ ภายในระยะเวลาและอัตราค่าเช่าที่ตกลงกันไว้
ผลตอบแทนจึงอยู่ในรูปแบบของ “ค่าเช่า” แทน ไม่ผิดต่อหลักศาสนาอิสลามนั่นเอง
ส่วนกองทุนรวม ก็มีกองทุนรวมอิสลามโดยเฉพาะ ทั้งแบบลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
สุดท้ายสำหรับเรื่องการลงทุน อย่างคริปโทเคอร์เรนซี ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามหรือไม่
คำตอบคือ “ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน”
คำตอบคือ “ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน”
โดยฝั่งที่เห็นด้วยกับการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี ให้เหตุผลว่าคริปโทเคอร์เรนซีนั้น สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้ ไม่ต่างจากเงินทั่วไป จึงไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด
ขณะที่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย มองว่าคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนมากและเสี่ยงเกินไป รวมถึงมีคนบางกลุ่มใช้ในการก่ออาชญากรรมประเภทต่าง ๆ ด้วย เช่น การฟอกเงิน
ปิดท้ายด้วยการบริหารเงินด้านความเสี่ยงอย่าง “ประกัน”
ปกติประกันจะเป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมไม่สามารถใช้ได้ ด้วย 2 เหตุผลหลัก คือ
1. เบี้ยประกันถูกนำไปลงทุนต่อในสิ่งที่ผิดสำหรับศาสนาอิสลาม เช่น ตราสารหนี้ และหุ้นที่มีกิจการขัดต่อหลักศาสนา
2. ความไม่ชัดเจน หรือความไม่แน่นอนของสัญญา โดยธรรมชาติของรูปแบบประกัน ที่เราไม่มีทางรับรู้ได้ว่า ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำให้สัญญาไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ระหว่างบริษัทประกัน หรือผู้ทำประกัน จึงเปรียบเสมือนกับการพนัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักศาสนา
2. ความไม่ชัดเจน หรือความไม่แน่นอนของสัญญา โดยธรรมชาติของรูปแบบประกัน ที่เราไม่มีทางรับรู้ได้ว่า ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเมื่อใด ทำให้สัญญาไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ระหว่างบริษัทประกัน หรือผู้ทำประกัน จึงเปรียบเสมือนกับการพนัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักศาสนา
อย่างไรก็ตาม มีประกันบางรูปแบบ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับหลักศาสนาอิสลาม โดยประกันนั้นมีชื่อว่า “ตะกาฟุล” จะมีความแตกต่างจากประกันทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น
- รูปแบบของตะกาฟุล ที่เป็นการให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนตกลงร่วมมือกัน บริจาคเงินเข้าสู่กองกลาง เพื่อสะสมไว้ช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ผู้อื่น ที่เกิดความสูญเสียในอนาคต
- ตะกาฟุลประกอบไปด้วย สัญญาการบริจาคและการมอบหมายให้บริษัทดูแล
ขณะที่อีกฝั่งคือการซื้อ-ขาย กรมธรรม์ ระหว่างบริษัท และผู้เอาประกันภัย
ขณะที่อีกฝั่งคือการซื้อ-ขาย กรมธรรม์ ระหว่างบริษัท และผู้เอาประกันภัย
- ตะกาฟุลจะไม่ลงทุนในสิ่งที่มีดอกเบี้ย และหุ้นที่มีกิจการขัดต่อหลักศาสนา
- ผู้ทำตะกาฟุลจะบริจาคเข้ากองทุน โดยสมาชิกตะกาฟุลเป็นเจ้าของเงิน หากใครเกิดเหตุจะนำเงินนี้ไปช่วยเหลือ
และทั้งหมดนี้ก็คือ เรื่องราวของการเงินอิสลาม ที่แม้ว่าจะเห็นรายละเอียดในแต่ละจุดมากมาย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจจะเป็นประโยชน์ ตั้งแต่
หลีกเลี่ยงการลงทุนในกิจการที่มีหนี้สินต่อสินทรัพย์สูงกว่า 33% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเจอกิจการที่ล้มละลายในแต่ละวิกฤติ
หรือการที่ต้องลงทุนในหุ้น เปรียบเสมือนเจ้าของกิจการ ที่ต้องมีความเข้าใจในกิจการและถือในระยะยาว ก็ช่วยให้เราลงทุนอย่างมีสติ และสร้างกรอบแนวคิดในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
รวมถึงการใช้บัตรเครดิตเท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่เกิดการใช้จ่ายเกินตัว จนเป็นหนี้เป็นสินพอกพูนอย่างไม่รู้ตัว..