ล่าสุด เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือ CRG ได้ทุ่มเงิน 940 ล้านบาท เข้าถือหุ้น 40% ในบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของร้านบุฟเฟต์ “ลัคกี้ สุกี้” และ “ลัคกี้บาร์บีคิว”

แปลว่า CRG ประเมินมูลค่ากิจการ เจ้าของธุรกิจลัคกี้ สุกี้ ไว้ที่ราว 2,350 ล้านบาท

โดย CRG บอกว่า เหตุผลที่ลงทุนในดีลนี้ ก็เพราะมองว่า ธุรกิจร้านสุกี้บุฟเฟต์ มีศักยภาพและโอกาสการเติบโต ในอนาคต

CRG จึงจะนำความเชี่ยวชาญ เรื่องการบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหาร และเทคโนโลยี รวมถึงเครือข่ายพันธมิตร มาช่วยสนับสนุนการเติบโตให้กับ ลัคกี้ สุกี้ อีกแรงหนึ่ง

ซึ่งดีลนี้ ก็ทำให้นึกถึงตอนที่กลุ่ม JMART ได้เข้าลงทุนใน “สุกี้ตี๋น้อย” เมื่อ 3 ปีก่อน
ด้วยการถือหุ้น 30% ในมูลค่าไม่เกิน 1,200 ล้านบาท

หรือก็คือ JMART ตีมูลค่ากิจการของ สุกี้ตี๋น้อย ในตอนนั้นราว 4,000 ล้านบาท
และถ้าเทียบกับกำไรปี 2564 ที่สุกี้ตี๋น้อย ทำได้ 148 ล้านบาท (กำไรปีล่าสุดตอนทำดีล)
ถือว่า JMART ได้เข้าลงทุนใน สุกี้ตี๋น้อย ด้วยค่า P/E ประมาณ 27 เท่า

ในขณะที่ถ้าเทียบกับ CRG ที่ได้ลงทุนใน ลัคกี้ สุกี้ ตอนนี้
ด้วยกำไรในปี 2567 ของลัคกี้ สุกี้ ที่ทำได้ 108 ล้านบาท
เท่ากับว่า ด้วยมูลค่ากิจการ 2,350 ล้านบาท
จะคิดเป็นค่า P/E ที่ประมาณ 22 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าของ สุกี้ตี๋น้อย พอสมควร

ซึ่งก็อาจเป็นเพราะว่า ตอนนั้น JMART ให้ Value กับธุรกิจของสุกี้ตี๋น้อย มาก เนื่องจากธุรกิจกำลังเติบโตสูง มีการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว การแข่งขันก็ยังไม่ได้รุนแรงเท่าวันนี้ และดูเหมือนว่า สุกี้ตี๋น้อย กำลังแย่งส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทีนี้ลองมาดูผลประกอบการย้อนหลัง ของทั้ง 2 บริษัท

บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของร้านลัคกี้ สุกี้ และลัคกี้บาร์บีคิว

ปี 2565 รายได้ 80 ล้านบาท กำไร 3 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท กำไร 46 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 1,015 ล้านบาท กำไร 108 ล้านบาท

โดยปัจจุบัน บริษัทมีร้านอาหารทั้งหมด 38 สาขา
แบ่งเป็น ลัคกี้ สุกี้ 27 สาขา และลัคกี้บาร์บีคิว 11 สาขา

บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้าน สุกี้ตี๋น้อย

ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท กำไร 148 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท กำไร 591 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท กำไร 907 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 7,075 ล้านบาท กำไร 1,169 ล้านบาท
และ 9 เดือนแรก ปี 2568 มีกำไร 803 ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทมีร้านสุกี้ตี๋น้อย ทั้งหมด 86 สาขา
Teenoi BBQ ทั้งหมด 7 สาขา และ Teenoi Gold มี 1 สาขา

ทีนี้ก็กลายเป็นว่า ในตลาดสุกี้บุฟเฟต์
กำลังมีรายใหญ่ หรือมีรายใหญ่หนุนหลังอยู่ 3 เจ้าหลัก ๆ

ซึ่งเปรียบได้กับศึก “สามก๊กสุกี้”

ก็คือ
1) เอ็มเค สุกี้ เจ้าใหญ่ของตลาดมายาวนาน ที่มีฐานแข็งแรง
2) สุกี้ตี๋น้อย ที่โตเร็ว และมีพันธมิตรเป็น JMART
และ 3) ลัคกี้ สุกี้ ผู้เล่นม้ามืด ที่ได้ CRG ของกลุ่มเซ็นทรัลฯ​ มาหนุนหลัง

ซึ่งก็น่าวิเคราะห์และติดตามว่า CRG จะช่วยอะไร ลัคกี้ สุกี้ ได้มากแค่ไหน
และจะมีข้อได้เปรียบกว่าตอนที่ JMART ช่วยสุกี้ตี๋น้อย หรือไม่ ?

เพราะที่ผ่านมา จุดแข็งของ JMART คือการถนัดทำธุรกิจค้าปลีกและเทคโนโลยี จึงช่วยหนุนสุกี้ตี๋น้อย ได้ในเรื่องการขยายสาขา ทำเล และระบบต่าง ๆ เพื่อผลักดัน สุกี้ตี๋น้อย เข้าสู่ตลาดหุ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของ JMART ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจร้านอาหาร เหมือนกรณีของ CRG ที่โฟกัสกับธุรกิจร้านอาหารมาโดยตลอด

ซึ่ง CRG ก็บริหารแบรนด์ร้านอาหารในเครือมากมาย เช่น มิสเตอร์ โดนัท, เคเอฟซี, อานตี้ แอนส์, เปปเปอร์ ลันช์, โอโตยะ, โคล สโตน ครีมเมอรี่, โยชิโนยะ, คัตสึยะ, ส้มตำนัว, ชินคันเซ็นซูชิ และสลัดแฟคทอรี่

CRG จึงน่าจะนำประสบการณ์, Know-how, ทีมงาน, ระบบแบ็กออฟฟิศ และเครื่องมือด้านเทคโนโลยีร้านอาหาร มาช่วยลัคกี้ สุกี้ ขยายธุรกิจได้โดยตรง และเห็นภาพชัดเจนกว่า

หรือก็คือ ถ้ามองอีกมุม
สุกี้ตี๋น้อย เป็นแบรนด์ที่ติดตลาดอยู่แล้ว ธุรกิจแข็งแรงแล้ว
การได้ JMART เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น จึงเสมือนการได้ผู้ช่วย ที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่สุกี้ตี๋น้อย ยังขาดหรือไม่มี เช่นเรื่องเครือข่าย หรือเทคโนโลยีของ JMART

ในขณะที่ ลัคกี้ สุกี้ ยังเป็นแบรนด์น้องใหม่ ที่เล็กกว่ามาก
การได้ CRG เป็นผู้ถือหุ้น น่าจะเปรียบเสมือนการได้พี่ใหญ่ มาช่วยโค้ชในแง่การบริหารจัดการร้าน ให้แข็งแรงขึ้น และเร่งการสเกลธุรกิจ ให้เติบโตกว่าเดิม

สุดท้ายแล้ว ศึก “สามก๊กสุกี้”
ระหว่าง เอ็มเค สุกี้ VS สุกี้ตี๋น้อย VS ลัคกี้ สุกี้

จะไปจบลงที่ตรงไหน
จะสู้กันด้วยสงครามราคากันต่อไป
หรือต่างฝ่าย จะพลิกเกม ย้ายไปเล่นในสนามอื่นกันแทน

แต่ไม่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน

การแข่งขันต่อจากนี้
ก็น่าจะมันส์ ขึ้นอีกแน่นอน..