รู้จัก ChiNext50 ดัชนีที่เปรียบเสมือน Nasdaq100 ของจีน ที่นักลงทุนไทยจะสามารถเข้าถึง 50 บริษัทเทคชั้นนำของจีนได้เป็นครั้งแรก

รู้จัก ChiNext50 ดัชนีที่เปรียบเสมือน Nasdaq100 ของจีน ที่นักลงทุนไทยจะสามารถเข้าถึง 50 บริษัทเทคชั้นนำของจีนได้เป็นครั้งแรก

รู้จัก ChiNext50 ดัชนีที่เปรียบเสมือน Nasdaq100 ของจีน ที่นักลงทุนไทยจะสามารถเข้าถึง 50 บริษัทเทคชั้นนำของจีนได้เป็นครั้งแรก / ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง x InnovestX
Innovation, Technology, Education, Growth
ได้กลายเป็นคีย์เวิร์ด ที่สีจิ้นผิงพูดถึงมากที่สุด
ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ เกี่ยวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 15 หรือฉบับใหม่ที่จะนำมาใช้ในประเทศจีน
นั่นหมายความว่าในอนาคต ภาพจำของเศรษฐกิจจีนอาจไม่ได้เป็น Old Economy หรือเป็นเพียงโรงงานผลิตสินค้าในราคาถูกเพียงอย่างเดียว
แต่อนาคตของจีน กำลังถูกผลักดันให้เป็น New Economy ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ซึ่งตอนนี้ จีนก็ได้เป็นผู้นำระดับโลกในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งด้านแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ด้าน Fintech ไปจนถึงด้านการแพทย์
และการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีของจีน ก็อาจไม่ได้ยากอีกต่อไป
เพราะวันนี้ประเทศไทย มี DR ตัวใหม่ชื่อ CHNXT5023 ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Invesco Great Wall ChiNext 50 ETF ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนี ChiNext50 ของจีน
ที่เปิดโอกาสให้คนไทย สามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีนได้ โดยเปรียบเสมือนการลงทุนในดัชนี Nasdaq100 ของฝั่งสหรัฐอเมริกาเลย
แล้ว ChiNext50 มีความน่าสนใจอย่างไร ?
ทำไมบริษัทในดัชนี ChiNext50 ถึงเปรียบเสมือนคลื่นลูกใหม่ของเศรษฐกิจจีน เทียบเท่ากับการลงทุนใน Nasdaq100 ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจจีนทุกยุคทุกสมัย มักเกิดขึ้นที่เมืองเซินเจิ้น
โดยเมื่อ 45 ปีก่อน รัฐบาลจีนได้เลือกให้เมืองเซินเจิ้น กลายเป็นฮับอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศจีน โดยมีวิศวกรกว่า 20,000 คน เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนรากฐานอุตสาหกรรม สร้างโรงงาน ควบคุมการผลิต เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับเมืองเซินเจิ้นและประเทศจีน
โดยพวกเขาได้นำเข้านวัตกรรมจากต่างประเทศ เข้ามาต่อยอดและพัฒนาให้มีต้นทุนที่ถูกกว่า และใช้ทรัพยากรจากในประเทศ ทั้งเรื่องวัตถุดิบ และแรงงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศจีน
ด้วยข้อได้เปรียบนี้ ทำให้เมืองเซินเจิ้นและประเทศจีน กลายเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าคุณภาพ ในราคาต้นทุนที่ถูกกว่าประเทศอื่น
จากการเปลี่ยนประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมเต็มตัว ทำให้ GDP ของประเทศจีนเติบโตอย่างมาก
โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP มากถึง 10% ต่อปีในช่วงยุค 1980-2000
แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจของจีนจะเติบโตขึ้นมาก แต่รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้คนจีนติดกับดักรายได้ปานกลาง
พร้อมกับออกแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ (ฉบับที่ 15) โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับนี้ ก็จะเน้นการนำเทคโนโลยีและ AI มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น
- ธุรกิจเครื่องจักรขั้นสูง
- ธุรกิจซอฟต์แวร์ ที่พัฒนาโดยคนจีนเอง
- ธุรกิจ Advanced Materials หรือวัสดุขั้นสูง
- อุตสาหกรรมการแพทย์
- อุตสาหกรรมไบโอเทค
- เทคโนโลยี 6G
โดยบริษัทของจีนที่อยู่ในดัชนี ChiNext50 กว่า 90% ของบริษัทสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่นี้
นั่นหมายความว่า หากคุณลงทุนในดัชนีนี้ ก็เท่ากับว่าคุณได้เป็นเจ้าของ และเติบโตไปพร้อมกันกับ 50 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่รัฐให้การสนับสนุนเต็มที่
โดยตัวอย่างของบริษัทที่อยู่ในดัชนี ChiNext50 ก็อย่างเช่น
1. CATL หรือ Contemporary Amperex Technology Co., Limited
คือผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน สำหรับยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีลูกค้าเป็นแบรนด์รถยนต์เบอร์ท็อปของโลก อย่าง Tesla, BMW, Volkswagen, Volvo, Toyota และ Honda
นอกจากนี้ CATL ก็ยังลงทุนในด้านนวัตกรรม Energy Storage System (ESS) ซึ่งก็คือระบบกักเก็บพลังงานที่ใช้ในโซลาร์ฟาร์ม, โรงงาน, ศูนย์ข้อมูล และโครงข่ายไฟฟ้า โดยปัจจุบัน ESS ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นหัวใจสำคัญ สำหรับการเติบโตของ CATL
โดย CATL สามารถประสานเทคโนโลยีในการผลิต เข้ากับการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพ ทำให้ CATL กลายเป็นซัปพลายเออร์ ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมสำหรับรถยนต์ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 38% ของผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมรถยนต์ทั้งหมด
และบริษัท CATL ก็ได้ประกาศวิสัยทัศน์ในอนาคตอย่างชัดเจน ว่าบริษัทจะเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ EV โดยครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 80% ของทั้งโลกเลยทีเดียว
ปัจจุบัน CATL มีมูลค่าตลาด 7,808,000 ล้านบาท
และในปี 2024 CATL
- มีรายได้ 1,648,000 ล้านบาท
- มีกำไร 231,000 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 14.0%
2. EVE Energy เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่เทคโนโลยีสูงอีกเจ้าจากจีน
โดย EVE Energy ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ
ซึ่ง EVE Energy ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัท ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดยเน้นขยายการผลิตทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน EVE Energy มีมูลค่าตลาด 663,000 ล้านบาท
และในปี 2024 EVE Energy
- มีรายได้ 220,000 ล้านบาท
- มีกำไร 18,500 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 8.4%
โดยทั้ง CATL และ EVE Energy ก็เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมยักษ์ใหญ่ของจีน ที่เทียบเคียงได้กับ LG Energy Solution จากเกาหลีใต้
3. East Money
เป็นหนึ่งในบริษัท FinTech ยักษ์ใหญ่ของจีน และเป็นแพลตฟอร์มลงทุนอันดับต้น ๆ ที่นักลงทุนชาวจีนใช้กันเยอะที่สุด
โดดเด่นทั้งโบรกเกอร์ออนไลน์ แพลตฟอร์มซื้อขายกองทุน ไปจนถึงบริการด้านประกัน และ Wealth Management ที่เทียบเคียงได้กับ Robinhood จากฝั่งสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน East Money มีมูลค่าตลาด 1,680,000 ล้านบาท
และในปี 2024 East Money
- มีรายได้ 52,800 ล้านบาท
- มีกำไร 43,700 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 82.8%
ซึ่งที่ East Money มีอัตรากำไรสูงมาก ก็เพราะว่าธุรกิจหลัก ๆ ของ East Money คือการทำธุรกิจนายหน้า โดยเน้นรายได้จากค่าคอมมิชชันเป็นหลัก
แถมในปี 2024 ที่ผ่านมา East Money มีการบันทึกกำไรจากการดำเนินงานเพียงครั้งเดียวหรือ One-Time อีกด้วย
4. VGT หรือ Victory Giant Technology
ผู้นำด้านการผลิตแผงวงจรไฟฟ้า หรือแผ่น PCB เขียว ๆ ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของแผงวงจร นอกจากนี้ VGT ก็ยังเป็นซัปพลายเออร์ ผู้รับจ้างพิมพ์ลายวงจรบน PCB รายใหญ่ของประเทศจีนอีกด้วย
โดย VGT จะเน้นไปที่การทำ PCB ขั้นสูงสำหรับ AI Server, Data Center, 5G และ EV Electronics
ปัจจุบัน VGT มีมูลค่าตลาด 1,100,000 ล้านบาท
และในปี 2024 VGT
- มีรายได้ 48,800 ล้านบาท
- มีกำไร 5,252 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 10.8%
5. Pharmaron
ผู้ให้บริการ Outsource ด้านการวิจัยและพัฒนายาแบบครบวงจร ตั้งแต่การค้นพบยาใหม่ การพัฒนายาออกสู่ตลาด ไปจนถึงการผลิตยาออกจำหน่าย
โดย Pharmaron ก็มีคู่แข่งเป็นแบรนด์ผู้พัฒนายาเจ้าดังในสหรัฐอเมริกาหลาย ๆ เจ้า
แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่าบริษัทฝั่งตะวันตกหลายเจ้าก็มาจ้าง Pharmaron ให้ช่วยวิจัยและพัฒนายาให้ในหลาย ๆ โปรเจกต์อีกด้วย
โดยลูกค้าหลักของ Pharmaron ก็เป็นแบรนด์บริษัทยาระดับโลก อย่าง Merck, Pfizer, Roche รวมถึงบริษัทไบโอเทคอื่น ๆ
ซึ่งถือว่า Pharmaron เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมยา ที่อยู่ในเทรนด์อุตสาหกรรมโลกอนาคตเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน Pharmaron มีมูลค่าตลาด 233,000 ล้านบาท
และในปี 2024 Pharmaron
- มีรายได้ 55,500 ล้านบาท
- มีกำไร 8,111 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 14.6%
6. Lens Technology
ผู้นำด้านการผลิตกระจก และวัสดุที่ใช้ในการทำ Smart Device อย่างเช่น จอสัมผัส สมาร์ตโฟน ชิ้นส่วนรถยนต์ หุ่นยนต์ชั้นนำของจีน
โดยบริษัทนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมจอโค้ง 3 มิติ ของแบรนด์สมาร์ตโฟนเจ้าดังหลายแบรนด์ อย่าง Apple, Samsung และ Xiaomi
ซึ่ง Lens Technology ก็ถือเป็นบริษัทที่อยู่ในเทรนด์อุตสาหกรรมแห่งอนาคตอีกบริษัทหนึ่ง และมีแนวโน้มขยายตัวตามตลาดยานยนต์อัตโนมัติ หุ่นยนต์ ไปจนถึงอุปกรณ์ Smart Device ที่กำลังเติบโต
ปัจจุบัน Lens Technology มีมูลค่าตลาด 692,000 ล้านบาท
และในปี 2024 Lens Technology
- มีรายได้ 316,000 ล้านบาท
- มีกำไร 16,333 ล้านบาท
- มีอัตรากำไร 5.2%
จะเห็นได้ว่า บริษัทที่กล่าวมา ก็อยู่ในเทรนด์อุตสาหกรรม ที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ตามแนวทางที่รัฐบาลสีจิ้นผิงได้สนับสนุน
และที่สำคัญ บริษัทเหล่านี้ ได้ถูกคัดเลือกให้เข้ามาอยู่ในดัชนี ChiNext50
ซึ่งเป็นกระดานหุ้นเทคโนโลยีเวฟใหม่ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับดัชนี Nasdaq100 ของสหรัฐอเมริกานั่นเอง
โดยจากมุมมองของ ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ Head of Investment Strategy & Head of Trading Product Specialist จาก InnovestX บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เครือเดียวกับธนาคารไทยพาณิชย์
เศรษฐกิจจีนมีการเติบโต และมีบทบาทมากขึ้นบนเวทีโลก ซึ่ง Marco Rubio รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมี 2 ขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กัน และคานอำนาจกัน
ซึ่งจะเห็นได้จากตัวเลข GDP หรือขนาดของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับ GDP โลก พุ่งขึ้นจากสัดส่วนแค่ 4% ในปี 2001 กลายมาเป็น 17% ในยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะมีขนาด GDP มากถึง 17% ของ GDP โลก แต่ Market Cap. ของตลาดหุ้นจีนเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งโลก ก็ยังคงอยู่ที่ 3.4% ซึ่งก็ถือว่า Market Cap. ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจ
นั่นหมายความว่า Market Cap. ของบริษัทเทคโนโลยีระดับท็อปของประเทศจีนก็ยังคงเติบโตได้อีกมาก
ซึ่งในตอนนี้ การลงทุนในดัชนี ChiNext50 ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น เพราะสามารถลงทุนได้ด้วยการซื้อ DR
หรือ Depositary Receipt ซึ่งก็คือ ตราสารการลงทุนชนิดหนึ่งที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศ
ทำให้นักลงทุนไทย สามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือผ่านแอป Streaming ไม่ต้องแลกเงินเป็นสกุลเงินอื่นเพื่อลงทุน และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีหุ้นต่างประเทศ
ซึ่งล่าสุด InnovestX ก็ได้ออก DR ที่ชื่อ CHNXT5023
โดยอ้างอิง ETF ชื่อ Invesco Great Wall Chinext 50 ETF (159682.SZ)
ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่ลงทุนในดัชนี ChiNext50 โดยเฉพาะ บริหารโดย Invesco บริษัทจัดการกองทุนระดับโลก โดย Invesco มี AUM ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ากว่า 2,100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยเหตุผลที่ InnovestX ตัดสินใจคัดเลือก ETF ที่อ้างอิงดัชนี ChiNext50 มาออกเป็น DR ที่ชื่อ CHNXT5023 นี้
นั่นก็เพราะว่า InnovestX เห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ดัชนีนี้ ตามเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น และต้องการให้คนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นนวัตกรรม หรือสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตได้แบบง่าย ๆ
โดยคำว่า CHNXT50 ก็ย่อมาจาก ChiNext50 ซึ่งก็คือบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยีของจีน 50 อันดับแรก ที่มีความคล้ายคลึงกับ Nasdaq100
ซึ่งพูดง่าย ๆ คือ ChiNext50 คือกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีแห่งอนาคต 50 บริษัทชั้นนำของจีน
ส่วนคำว่า 23 ห้อยท้าย ก็คือ รหัสของบริษัทหลักทรัพย์ InnovestX ซึ่งเป็นผู้ออก DR นี้
โดยคนไทยสามารถลงทุนใน DR CHNXT5023 และ DR ตัวอื่น ๆ ที่ลงท้ายด้วย 23 ได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชัน Streaming โดยไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรหรือ Capital Gains เลย…
คำเตือน : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน DR มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ต่างประเทศอ้างอิง ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากผู้ออก และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
หมายเหตุ ผลตอบแทน ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2568
Fx Rate CNYTHB = 4.51
#InnovestX #DR23 #CHNXT5023 #ChiNext50 #Invesco

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon