“ความยั่งยืน” เรื่องสำคัญที่ธุรกิจไทย ต้องทำทันที

“ความยั่งยืน” เรื่องสำคัญที่ธุรกิจไทย ต้องทำทันที

“ความยั่งยืน” เรื่องสำคัญที่ธุรกิจไทย ต้องทำทันที / ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง x ABeam Consulting
ในอดีต เป้าหมายของธุรกิจไทย ที่ตั้งธงให้เห็นกันอยู่บ่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่การเติบโตสูงสุด ก็คงเป็นการสร้างกำไรมากที่สุด ที่ยืนหนึ่งมาเป็นอันดับต้น ๆ
ถ้าลองสังเกตตอนนี้.. กลับมีคำว่า “ยั่งยืน” อยู่ในเป้าหมายของทุกบริษัท
ภายใต้ผลกระทบของการจัดกฎระเบียบระดับโลก
ที่ในตอนนี้ ถ้าธุรกิจใดไม่ลงมือทำก็เท่ากับเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ไม่ว่าธุรกิจไทยนั้นจะเป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการก็ตาม
กฎระเบียบโลกที่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้ ยกตัวอย่างก็เช่น
- CBAM ที่กวดขันสินค้าคาร์บอนเข้มข้นที่ส่งเข้า EU
- มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ IFRS S1, S2 / TFRS S1, S2 ที่ทำให้การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนเชื่อมโยงกับการเงิน ไม่ใช่แค่รายงาน CSR
- การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของธุรกิจ
พอเป็นแบบนี้ ธุรกิจไทย ควรปรับตัว ลงมือทำทันที ในเรื่องใด ?
แล้ว ABeam Consulting จะเข้ามาช่วยเหลือธุรกิจไทยได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
--------
หนึ่งในปัญหาหลักที่ท้าทายเป้าหมายความยั่งยืนของธุรกิจไทย
คือ การแยกข้อมูลระหว่าง “ข้อมูล ESG” และ “ข้อมูลการดำเนินงาน” ออกจากกัน ทำให้ยากในการเชื่อมโยงผลการปล่อยคาร์บอนกับผลกระทบทางการเงินภายในธุรกิจ
กระบวนการแมนนวลแบบนี้ นอกจากจะขาดการมองเห็นแบบเรียลไทม์แล้ว
หลายธุรกิจไทยยังมองว่า “ความยั่งยืน” เป็นเพียงการรายงาน ไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ ทำให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero จึงช้าลงตามไปด้วย
--------
แล้ว ABeam Consulting มองเรื่องนี้อย่างไร ?
ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร
ABeam Consulting ได้เข้าร่วมและจัดแสดงเทรนด์ รวมถึงโซลูชันล้ำสมัยด้าน AI และ ESG
ภายในงาน SAP NOW ทั้งที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นในปีนี้
ประสบการณ์จากทั้งสองงาน ทำให้ ABeam Consulting ได้เห็นกรณีศึกษาและอินไซต์สำคัญ ที่องค์กรไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที
โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการยกระดับการทำงานให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล
มุมมองจากงาน SAP NOW : เมื่อ “ความยั่งยืน” ต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์
จากงาน SAP NOW ที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นเห็นชัดเจนตรงกันว่า “การทลายไซโลข้อมูล” และ การเชื่อมโยง ESG, การปฏิบัติงาน และการเงินแบบเรียลไทม์ คือกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนความยั่งยืนของธุรกิจยุคใหม่
การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง AI และ Automation ร่วมกับเครื่องมืออย่าง SAP Green Ledger, SAP Sustainability Control Tower (SCT) และ SAP Footprint Management (SFM)
เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพ ลดคาร์บอน และเชื่อมโยงกับผลประกอบการ
สรุปแล้ว ความยั่งยืนวันนี้ไม่ได้จบแค่ “รายงานตัวเลข”
แต่ต้องกลายเป็น “ขุมพลังทางธุรกิจ” ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างเป็นรูปธรรม
--------
ทีนี้ สังเกตไหมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคล้าย ๆ กันนี้
คือ การทำลายไซโลระหว่างฟังก์ชันธุรกิจ และทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
นั่นคือ “กุญแจสำคัญ” ในการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรยุคนี้นั่นเอง
คำถามก็คือ แล้วธุรกิจไทย จะมีกุญแจสำคัญนี้ ได้อย่างไร ?
เรื่องนี้ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การปรับ Mindset กันเสียใหม่
จากเดิมที่มองว่า ESG เป็นการทำรายงาน ให้ปรับมุมมองเป็นการลงมือปฏิบัติที่ส่งผลต่อผลประกอบการของธุรกิจจริง ๆ
เพื่อไม่ให้ธุรกิจไทยสูญเสียสภาพการแข่งขัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีกฎระเบียบเช่นนี้
--------
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ธุรกิจไทยลงมือทำได้ทันทีเลยคือ การเชื่อมโยงแพลตฟอร์ม ERP เข้ากับโซลูชัน ESG เพื่อให้ได้ข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
ยกตัวอย่างก็เช่น
- การจัดทำบัญชีคาร์บอนแบบเรียลไทม์
ด้วยโซลูชันอย่าง SAP Green Ledger และแพลตฟอร์มขั้นสูงอื่น ๆ เพื่อช่วยให้ข้อมูลคาร์บอนไหลเข้าสู่กระบวนการทางการเงินอย่างราบรื่น
ที่สำคัญคือ การทำให้ทุกธุรกรรมสะท้อนทั้งต้นทุน และผลกระทบคาร์บอน เพื่อช่วยให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างสมดุลระหว่างกำไรและความยั่งยืน
- การกำกับดูแลข้อมูล ESG แบบรวมศูนย์

ต้องยอมรับว่า สเปรดชีตที่กระจัดกระจายและระบบไซโล กำลังสร้างความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ไม่มีประสิทธิภาพ
แพลตฟอร์ม SAP Sustainability Control Tower (SCT) เลยเป็นแพลตฟอร์มกำกับดูแลที่ช่วยสร้าง “แหล่งข้อมูลเดียว” ที่ตรวจสอบได้ทั้งการกำกับดูแล ESG, การติดตาม KPI และการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนด
พูดง่าย ๆ คือ การเปลี่ยน ESG จากภาระการรายงานไปเป็น “แดชบอร์ดเชิงกลยุทธ์” นั่นเอง
- การมองเห็นรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) แบบครบวงจร

SAP Sustainability Footprint Management (SFM) เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่ต้องการความโปร่งใส ที่ช่วยให้ได้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทานแม่นยำตามหลักการการประเมินวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCA - Life Cycle Assessment)
ที่สำคัญยังรองรับ CBAM และการรายงานต่อลูกค้า
ทำให้ธุรกิจไทยสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสากล และตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมั่นใจ
--------
สรุปง่าย ๆ ก็คือ กุญแจสำคัญในมือธุรกิจไทยที่สามารถทำได้เลยทันที
คือการปรับมุมมองในรูปแบบรายงานไปสู่การขับเคลื่อนเชิงรุกทางธุรกิจ ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลเข้าถึงกันและมองเห็นเป็นตัวเลขทางการเงิน
ทั้งหมดนี้ คือจุดเริ่มต้นของความยั่งยืน ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างความเป็นผู้นำแบรนด์ในยุคนี้ไปพร้อมกัน
--------
อย่างไรก็ตาม องค์กรจำเป็นต้องมีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูล การทำงาน และการตัดสินใจให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
ไม่เช่นนั้น กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนก็อาจไม่เกิดผลลัพธ์จริงตามที่ตั้งเป้าไว้
ตรงนี้เองที่ ABeam Digital ESG เข้ามาช่วยเติมเต็ม ด้วยโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนจาก “การรับรู้ปัญหา” ไปสู่ “การลงมือทำจริง”
ภายใต้กรอบการทำงานที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้องค์กรก้าวข้ามจากการรายงาน ไปสู่การขับเคลื่อนแบบเรียลไทม์
ภายใต้ความสามารถที่น่าสนใจ 3 ประการ
- การเชื่อมต่อข้อมูล เพื่อรองรับการรวบรวมข้อมูล ESG, การดำเนินงาน และการเงิน
- การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเชื่อมโยงตัวชี้วัด ESG กับ KPI ทางธุรกิจ พร้อมการวางแผนสถานการณ์
- ESG Cockpit เพื่อมอบข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ให้ผู้บริหาร เพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
โซลูชันนี้ ช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจด้านความยั่งยืน ส่งผลต่อตัวชี้วัดทางการเงิน (Financial KPIs) และสร้างคุณค่าเชิงรูปธรรม ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไร
ด้วยศักยภาพเหล่านี้ ธุรกิจไทยก็สามารถเปลี่ยนมุมมองจาก “รายงานสิ่งที่เกิดขึ้น” ไปสู่ “ขับเคลื่อนสิ่งที่จะเกิดขึ้น” ได้แบบไม่ยากเลย
--------
ถึงตรงนี้ สรุปแล้วสิ่งที่ธุรกิจไทยต้องทำทันที ภายใต้แรงกดดันด้านกฎระเบียบโลกที่ทวีความเข้มข้น
คือ การผสานเทคโนโลยีและ AI เพื่อจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์ ยกระดับความเร็วและความแม่นยำในการตัดสินใจ และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
พร้อมกันนี้ องค์กรต้องไม่ลืมผสานข้อมูลด้าน “ความยั่งยืน” เข้าไว้ในภาพรวม ผ่านการเชื่อม ESG เข้ากับ ERP อย่างเป็นระบบ
เพื่อให้สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน เชื่อมโยงกับเป้าหมายทางธุรกิจ และสะท้อนความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งหมดนี้คือการวาง “สถาปัตยกรรมความยั่งยืนแบบครบวงจร” ที่กระบวนการทำงานต่าง ๆ เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ทำให้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขับเคลื่อนได้จริงในทุกระดับขององค์กร

และยังสะท้อนด้วยว่า “ABeam Consulting” สามารถช่วยธุรกิจไทยบรรลุการปฏิบัติตามข้อกำหนด ปลดล็อกประสิทธิภาพ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในยุคแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน นั่นเอง..
--------
Reference
- ข้อมูลเปิดเผยจาก ABeam Consulting
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon