EBIT ย่อมาจาก Earnings Before Interest and Taxes หรือกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี

โดยมีสูตรคือ EBIT = รายได้ - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายในการขาย - ค่าใช้จ่ายในการบริหาร

โดยที่
ต้นทุนขาย คือ ต้นทุนที่ก่อให้เกิดสินค้าหรือบริการ
ค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง เงินเดือนพนักงาน เป็นต้น
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เช่น เงินเดือนพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายขาย ค่าเช่าสำนักงาน เป็นต้น

หากเรานำ EBIT ไปเทียบกับรายได้ จะเรียกว่า EBIT Margin หรืออัตรากำไรจากการดำเนินงาน
มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ เพื่อดูว่า รายได้ของบริษัท 100 บาท เป็นกำไรจากการดำเนินงานกี่บาท

เหตุผลหลักของการใช้ EBIT คือเพื่อวัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
โดยคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจโดยตรงเท่านั้น
ซึ่งตัดผลกระทบเรื่องดอกเบี้ยจ่าย กับเรื่องภาษีออกไป

ลองนึกภาพว่า เราต้องการจะเปรียบเทียบความสามารถของบริษัท A และ B โดยที่ทั้งสองบริษัททำธุรกิจคล้าย ๆ กัน มีรายได้ กำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิที่เท่ากัน

ซึ่งก็อาจบอกไม่ได้ว่า ทั้งสองบริษัททำธุรกิจเก่งเท่า ๆ กันได้เสมอไป

สมมติว่า บริษัท A มีการกู้ยืมเงินมาทำธุรกิจมากกว่าบริษัท B
หมายความว่า ภาระดอกเบี้ยของบริษัท A จะมากกว่าบริษัท B เป็นเงาตามตัว

รวมถึงเรื่องภาษี ซึ่งบริษัทต้องมีหน้าที่ชำระตามกฎหมายอยู่แล้ว
และแต่ละบริษัทอาจได้รับผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอีกด้วย

เช่น ถ้าบริษัท B ได้รับการส่งเสริมภาษีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ซึ่งบริษัท B อาจมีการเสียภาษีที่น้อยกว่าบริษัท A หรืออาจจะไม่เสียภาษีเลย

ถึงแม้ว่า ทั้งสองบริษัทจะมีรายได้ กำไรสุทธิ และอัตรากำไรสุทธิที่เท่ากัน
แต่ขณะที่บริษัท A มีการเสียค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ย และภาษีที่มากกว่า

แปลว่า หากวัดฝีมือในการทำธุรกิจแล้ว บริษัท A จะมีความสามารถมากกว่าบริษัท B
โดยที่มีการบริหารควบคุมค่าใช้จ่ายทางธุรกิจที่ดีกว่า ซึ่งจะสะท้อนไปยัง EBIT และ EBIT Margin ที่สูงกว่า

ถึงตรงนี้ ก็พอสรุปได้ว่า EBIT เป็นอีกหนึ่งตัวที่ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยไม่ได้คำนึงถึงค่าใช้จ่ายเรื่องดอกเบี้ย และภาษีนั่นเอง..