ข่าวประชาสัมพันธ์..

คดีโกง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย “ใบกำกับภาษีปลอม” ทำให้ผู้ประกอบการทั่วไปต้องระวังมากขึ้น เพราะแม้จะทำธุรกิจอย่างสุจริต แต่หากเผลอรับเอกสารปลอม ก็อาจถูกตรวจย้อนหลังและโดนปรับได้ทันที บทความนี้สรุปกลโกง วิธีป้องกัน และแนวทางที่เจ้าของร้านค้า–ผู้ประกอบการควรทำทันทีเพื่อป้องกันธุรกิจของตัวเอง

คือ การทำธุรกรรมหลอกๆ แล้วขอคืน VAT จากรัฐโดยใช้เทคนิคที่ปั่นราคา แล้วส่งออกปลอมๆ ขอสรุปขั้นตอนแบบสั้นๆ แต่ปัจจัยจริงมีเยอะกว่านี้เพราะต้องหลบหลีกในแต่ละขั้นตอนของรัฐให้ได้อย่าแนบเนียน

- เปิดหลายบริษัทให้มีทั้ง “ผู้ซื้อ–ผู้ขาย” เป็นเครือข่ายผู้ซื้อหลายรายกระจายทั่วพื้นที่ ผู้ขายหลายรายกระจายอย่างสมจริง
- ใส่ธุรกรรมปลอม ซื้อขายกันเองวนกันไปวนกันมา ยิ่งเครือข่ายใหญ่ก็ยิ่งสมจริงเพราะวนกันเป็นวงกว้าง แต่ของที่ขายไม่มีจริง
- ปั่นราคาให้สูงขึ้นในแต่ละทอด ทำให้มูลค่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็สูงตาม แล้วใช้บริษัทสุดท้าย “ส่งออก” ด้วยอัตราภาษี 0%
- สุดท้ายก็ยื่นขอคืน ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีซื้อเต็มจำนวนจากสรรพากร

ซึ่งวิธีการนี้สรรพากรรู้และมีกาาตรวจสอบและจับได้มาตลอดหลายราย แต่รายที่อาจจะล่าช้าในการจรวจเจอก็คือการเอาธุรกรรมปลอมเหล่านี้ ไปใส่หรือไปซ่อนอยู่ในธุรกรรมจริง บริษัทสร้างออฟฟิศมีหน้าร้านจริง มี่การขายจริง มีส่งออกจริง จึงตรวจยากขึ้น

สรรพากรตรวจสอบเข้มขึ้น
คดีโกงครั้งนี้ทำให้รัฐเข้มงวดกับเอกสารภาษีของทุกราย ใครเอกสารไม่ครบ ทำงานแบบกระดาษ หรือใช้ระบบการทำบัญชีที่มีความปลอดภัยต่ำก็ยิ่งเสี่ยงโดนตรวจย้อนหลังมากขึ้น

ใช้ใบกำกับภาษีปลอมแบบไม่รู้ตัว
หลาย SME เคยเจอปัญหา ซื้อของจริงแต่ดันได้ “ใบกำกับปลอม” ผลคือโดนสรรพากรปรับหมด ถือว่าคุณอาจจะมีความเสี่ยงที่ซื้อสินค้าจากบริษัทที่ไม่ได้ทำธุรกรรมจริงๆ แล้วคุณจะซื้อของไปได้อย่างไร ธุรกิจสุจริตก็อาจจะเจ็บฟรีเพราะพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ว่าซื้อจริง

ธุรกิจที่มียังระบบการจัดการด้านภาษีเป็นกระดาษ ก็ยิ่งมีความเสี่ยง
ยุคนี้แล้วแต่ก็ยังมีการซื้อขายใบกำกับภาษีปลอมกัน บริษัทจริงใช้เอกสารจริง แต่ฝั่งคู่ค้าอาจปลอม ถ้าไม่มีระบบอีเล็กทรอนิกส์ตรวจสอบทันที ก็ไม่รู้ว่าคุณพลาดไปซื้อของจากโจรเมื่อไหร่

รัฐตรวจเข้มขึ้นระหว่างหน่วยงาน
เนื่องจากข้อมูลนำเข้า ส่งออก และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อยู่คนละระบบ ถ้าธุรกิจของคุณมีการส่งออก ต้องระวังเรื่องเอกสารมากเป็นพิเศษ เพราะรัฐจะเข้มงวดมากขึ้นหลังเหตุการณ์นี้ การจัดเก็บเอกสาร และความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษี อาจถูกเนียกมาเป็นเอกสารประกอบการพิสูจน์ตัวเองได้

เอกสารต้องโปร่งใส
เพราะความผิดเกิดได้แม้คุณไม่เจตนา คุณไม่ต้องโกงเองก็พลาดได้ จากคู่ค้าหรือระบบที่ไม่เชื่อมกัน

การตรวจภาษีย้อนหลังจะเร็วขึ้น และจะเข้มขึ้น
สรรพากรมีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Scoring) ถ้าตัวเลขคุณผิดปกติแม้นิดเดียว ต้องเตรียมคำอธิบายให้พร้อมเสมอ

การเก็บเอกสารแบบกระดาษ คือความเสี่ยงที่คุณควบคุมไม่ได้
กระดาษหาย เลือนจาง ปลอมง่าย ตรวจยากทั้งหมดคือความเสี่ยงที่ SME แบกรับอยู่โดยไม่รู้ตัว ถ้าเอกสารไม่ครบถ้วนไม่สมบูรณ์ก็อาจจะถูกพิจารณาไปก่อนว่าเจตนาทุกจริต

ธุรกิจที่ใช้ e-Tax Invoice จะได้ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น
ต่อไปการยื่นกู้เงิน ขอสินเชื่อ หรือสรรพากรเองจะตรวจสอบภาษี และอีกหลายหน่วยงานก็จะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้นแน่นอน เพราะเป็นระบบที่มีมาตรฐานตามที่รัฐกำหนดไว้เองอยู่แล้ว

- เอกสารถูกส่งเข้ากรมสรรพากรทันที รัฐเห็นต้นทางปลายทางครบ ทำธุรกรรมปลอมแทบเป็นไปไม่ได้
- ปลอมยาก ทุกใบมีลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature)
ตรวจสอบคู่ค้าได้ทันทีว่าเราซื้อของจากบริษัทที่มีตัวตนจริงๆ หรือไม่ ไม่ต้องรอถึงตอนโดนตรวจ
- ป้องกันการโดนตรวจย้อนหลัง เพราะข้อมูลตรงกันทั้งระบบ โดยธุรกิจที่ใช้ e-Tax Invoice จะมีคะแนนความเสี่ยง (Risk Score) ต่ำกว่ารัฐตรวจง่าย คุณก็ปลอดภัย
- เพิ่มความโปร่งใส เพิ่มเครดิตธุรกิธนาคารชอบ สรรพากรตรวจง่ายคู่ค้าก็ไว้ใจ

ยิ่งทำระบบบัญชีภาษีให้โปร่งใส ธุรกิจยิ่งปลอดภัยและน่าเชื่อถือ การเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดตอนี้คือ

1. ลดการกระดาษ เปลี่ยนเป็น e-Tax Invoice
2. เก็บระบบทั้งหมดไว้ในโปรแกรมเดียว PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ตอบโจทย์การทำบัญชี และรองรับ ทั้ง e-Tax Invoice by timestamp และ e-Tax Invoice & e-Receipt
3. ตรวจสอบคู่ค้าให้ชัวร์ก่อนรับใบกำกับภาษีทุกครั้งหากคู้ค้าใช้ e-Tax Invoice ด้วยก็ยิ่งตรวจสอบง่ายขึ้น

---------------

• ทดลองใช้งาน คลิก
• PEAK Call Center : 1485
• LINE : @peakaccount

ผู้ใช้งานกว่า 30,000 กิจการทั่วประเทศไว้วางใจ ดูตารางเปรียบเทียบเพิ่มเติม!