ถอดรหัสกลยุทธ์สร้างอาณาจักรความงามอย่างยั่งยืน ในแบบ L’Oréal Group

ถอดรหัสกลยุทธ์สร้างอาณาจักรความงามอย่างยั่งยืน ในแบบ L’Oréal Group

28 เม.ย. 2023
L’Oréal X ลงทุนแมน
เมื่อพูดถึงบริษัทความงามที่ทรงอิทธิพล และเป็นเบอร์ 1 ของโลก
L’Oréal Group ย่อมเป็นชื่อแรก ๆ ที่คนทั่วไปนึกถึงอย่างไม่ต้องสงสัย
แค่ในปีที่ผ่านมา L’Oréal Group มีรายได้สูงถึง 3.83 หมื่นล้านยูโร เติบโต 10.9%
และทำยอดขายสินค้าทั่วโลกได้ถึง 7,000 ล้านชิ้น ผ่าน 36 แบรนด์ความงาม ใน 150 ประเทศทั่วโลก
ตัวเลขเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า L’Oréal Group เป็นบริษัทความงามที่มีผลิตภัณฑ์เข้าถึงคนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย พร้อมกับได้รับความนิยมอย่างสูงไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ในกลุ่มอุปโภคที่รู้จักกันดีอย่าง L’Oréal Paris, Garnier และ Maybelline New York
หรือแบรนด์ความงามชั้นสูง ได้แก่ Lancôme, YSL Beauty, Kiehl’s, Shu Uemura, Giorgio Armani, It Cosmetics แบรนด์เวชสำอาง เช่น Vichy, La Roche-Posay หรือ CeraVe และผลิตภัณฑ์สำหรับช่างผมมืออาชีพอย่าง Kérastase และ L'Oréal Professionnel
ส่วนในประเทศไทย L’Oréal มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในหลาย ๆ Segment สินค้าความงาม
เช่น Garnier ที่เป็นแบรนด์ความงามและดูแลผิว, Maybelline New York ในกลุ่มเมคอัพ
และล่าสุดในไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 ที่ผ่านมา
L’Oréal ก็พลิกเกมตลาดน้ำหอมเมืองไทย กวาดยอดขายเป็นอันดับ 1 ไปอีกเช่นกัน
“ส่วนตลาดไหนที่เรายังอยู่ในอันดับ 2 เราก็จะขึ้นชิงความเป็นเบอร์ 1 เช่น ตลาดกลุ่มเวชสำอาง
ที่เราเชื่อว่าอีกไม่นาน L’Oréal จะมียอดขายเป็นอันดับ 1”
คุณแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา
บอกถึงเป้าหมายการแข่งขันในตลาดสินค้าความงามเมืองไทย โดย L’Oréal ต้องการมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในทุก Segment ผลิตภัณฑ์ความงาม
ที่น่าสนใจกว่านั้น ในมุมการทำธุรกิจ L’Oréal กำลังมองข้ามช็อตในเรื่องการเป็นเบอร์ 1 ด้านยอดขาย ด้วยการทำในสิ่งที่บริษัทความงามอื่นอาจจะไม่ให้ความสำคัญ หรือที่จะเลือกมองข้าม
นั่นก็คือ การเป็นบริษัทที่สร้างความงามให้แก่มนุษย์และโลกใบนี้
ด้วยการ “transform” หรือปรับการดำเนินงานในทุกส่วน ตั้งแต่การออกแบบสูตรผลิตภัณฑ์ การผลิต
การบรรจุหีบห่อ ไปจนถึงรูปแบบการดำเนินธุรกิจทั้งภายในองค์กรและกับพาร์ตเนอร์ต่าง ๆ
โดยยึด “เป้าหมายด้านความยั่งยืน” เป็นหัวใจหลัก
ทำไม L’Oréal ถึงคิดเช่นนั้น ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ L’Oréal Group กลายเป็นบริษัทความงามอันดับ 1 ของโลก
คำตอบของเรื่องนี้ก็มีอยู่หลายข้อเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา L’Oréal ได้เข้าซื้อกิจการบริษัทความงามต่าง ๆ ในหลายประเทศ
ล่าสุดก็คือ การซื้อกิจการจาก บริษัท ทาคามิ โค แบรนด์สกินแคร์จากประเทศญี่ปุ่น
และ Aesop จากออสเตรเลีย โดยวิธีนี้เองที่ช่วยขยายพอร์ตสินค้า และขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ
ที่สำคัญ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา L’Oréal Group เป็นบริษัทที่มี DNA ของนักวิจัย
หลายคนอาจไม่รู้ว่า ปัจจุบัน L’Oréal มีนักวิจัยกว่า 4,000 คน
โดยในแต่ละปีใช้งบประมาณสำหรับการวิจัยผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ ๆ สูงถึง 1,000 ล้านยูโร
ก็เลยทำให้ทุก ๆ ครั้งที่แบรนด์ในเครือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ความงามใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด
จะเป็นนวัตกรรมความงามที่แก้ Pain Point ของผู้บริโภค จนได้รับความนิยมอย่างสูง
การจะทำอย่างนี้ได้ คุณแพทริค จีโร บอกว่า L’Oréal Group เป็นเหมือน Unicornus Rex
หรือการเป็น ยูนิคอร์น + ไดโนเสาร์ ทีเร็กซ์
อธิบายง่าย ๆ คือ การที่ L’Oréal ทำธุรกิจความงามมานาน 110 ปี มีทั้งองค์ความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ความงาม, มีรากฐาน และความแข็งแกร่งด้านธุรกิจ เปรียบเสมือนไดโนเสาร์อย่างทีเร็กซ์
ส่วนคำว่า ยูนิคอร์น ก็คือการเป็นบริษัทที่มองหาโอกาสใหม่ ๆ
มีแนวคิดแบบ Startup เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและไม่ยึดติดกับความสำเร็จในปัจจุบัน
พอคิดแบบนี้เลยทำให้ L’Oréal ปรับเปลี่ยนทันยุค
และสร้างเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมความงามได้อย่างต่อเนื่อง
ในปีที่ผ่านมา ช่องทางการขายผ่านทางอีคอมเมิร์ซของ L’Oréal Group เติบโตถึง 8.9%
คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ก็มีการใช้เทคโนโลยี AI และ AR ที่มาสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า
อย่างในประเทศไทย L’Oréal มีการนำเสนอเทคโนโลยีด้านความงามกว่า 15 บริการ
เช่น การวิเคราะห์ปัญหาผิวหน้า พร้อมแนะนำวิธีดูแลผิว ไปจนถึงอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์สีลิปสติก
ที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน virtual try on สำหรับเมคอัพและสีผม และยังมีอีกสารพัดเทคโนโลยีที่มาปฏิวัติอุตสาหกรรมความงามไม่ใช่เพียงเพื่อผู้บริโภคทั่วไป แต่เพื่อคนทุก ๆ คน
ดังจะเห็นได้จากเทคโนโลยีล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้อย่าง HAPTA ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหว สามารถแต่งหน้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
โดย L’Oréal นิยามปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า Beauty Tech
พร้อมกับวางเป้าหมายที่ต้องการจะเป็นผู้นำในเมกะเทรนด์นี้
ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่ L’Oréal กำลังจริงจังไม่แพ้กัน
คือการสร้างธุรกิจความงามบนโลกที่ยั่งยืน ในโครงการที่ชื่อ “L’Oréal for the Future”
ที่มาพร้อมปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมความงามอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โดยภายในปี 2030 ผลิตภัณฑ์ L’Oréal จะใช้ส่วนผสมจากแหล่งชีวภาพถึง 95%
จากปัจจุบันอยู่ที่ 61% มีการรีไซเคิลน้ำจากโรงงานทั่วโลก และตั้งเป้าหมายให้ทุกไซต์งานและสำนักงานมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ขณะเดียวกันแพ็กเกจจิงพลาสติกทั้งหมดในอนาคต จะเป็นพลาสติกรีไซเคิล 100%
แนวคิดนี้ L’Oréal ไม่ได้เพิ่งคิดจะทำ แต่ทำมานานแล้ว
สะท้อนจากการเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ได้คะแนน AAA ถึง 7 ปีติดต่อกัน
จากการให้คะแนนของ CDP องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรด้านสิ่งแวดล้อมโลก

คำถามสั้น ๆ แต่น่าสนใจคือ ทำไม L’Oréal ต้องทำเช่นนั้น ?
คุณแพทริค จีโร ตอบคำถามประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจ
โดยเขาบอกว่า “L’Oréal มองว่า สิ่งแวดล้อมบนโลกวันนี้ไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างในอดีต
มนุษย์ทุกคน และทุกบริษัทบนโลกใบนี้ ต้องหาวิธีช่วยเหลือไม่ให้สิ่งแวดล้อมมันเลวร้ายไปกว่านี้
L’Oréal เองก็ขอเป็นบริษัทแนวหน้าในภารกิจนี้ ส่วนต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้น
เราเองก็พยายามจะควบคุมราคา เพื่อให้แบรนด์ในเครือ L’Oréal เข้าถึงผู้บริโภค”
และถ้าถามว่า L’Oréal Group ทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร
ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงวันนี้ L’Oréal ประสบความสำเร็จทางธุรกิจรอบด้าน
ทั้งการเป็นบริษัทความงามเบอร์ 1 ของโลก, ยอดขายบริษัทเติบโต 2 หลักในทุก ๆ ปี
เหตุผลก็น่าจะมาจาก L’Oréal Group เชื่อว่า การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมความงามยุคนี้
ไม่ใช่แค่การมีตัวเลขยอดขายมากที่สุด ไม่ใช่แค่เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์นวัตกรรมความงามใหม่ ๆ
แต่ต้องช่วยปรุงแต่งทั้งความสวยงามของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ ให้สวยงามไปพร้อม ๆ กัน
นั่นคือ โลกความงามที่ L’Oréal ฝัน และกำลังขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงในทุก ๆ วัน ตาม Sense of Purpose ของบริษัทในการสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก..
References
-งานแถลงข่าว บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
-https://globalcompact-th.com/loreal-sustainability
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.