
กรณีศึกษา L’Oréal Groupe กับโมเดล “BEAUTY DRIVEN BY SCIENCE & TECH” สร้างความแข็งแกร่งอาณาจักรความงามในโลกยุคใหม่
กรณีศึกษา L’Oréal Groupe กับโมเดล “BEAUTY DRIVEN BY SCIENCE & TECH” สร้างความแข็งแกร่งอาณาจักรความงามในโลกยุคใหม่ / ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง x L’Oréal Groupe
ถ้าถามถึงบริษัทความงามที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลก หนึ่งในธุรกิจที่คนทั่วโลกนึกถึงคือ L’Oréal Groupe เพราะนี่คือธุรกิจความงาม 116 ปี มีมากกว่า 40 แบรนด์อยู่ในอาณาจักร ที่ช่วยกันสร้างยอดขาย และกลายเป็นบริษัทความงามที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก
คนไทยผูกพันกับ L’Oréal แต่อาจจะไม่ทราบว่า L’Oréal Groupe มี 16 แบรนด์ ภายใต้การดูแล ลอรีอัล ประเทศไทย เช่น YSL Beauty, Garnier, La Roche-Posay เป็นต้น
เบื้องหลังที่ทำให้อาณาจักร L’Oréal Groupe ยืนหนึ่งด้านความงามระดับโลกมายาวนาน
คือ DNA นักวิจัยด้านผลิตภัณฑ์ความงามที่ปัจจุบันมีกว่า 4,000 คน และงบประมาณเพื่องานวิจัยกว่า 1,000 ล้านยูโร เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ความงามที่ช่วยให้ผู้บริโภคดูดีขึ้นในแบบฉบับตัวเอง
คือ DNA นักวิจัยด้านผลิตภัณฑ์ความงามที่ปัจจุบันมีกว่า 4,000 คน และงบประมาณเพื่องานวิจัยกว่า 1,000 ล้านยูโร เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ความงามที่ช่วยให้ผู้บริโภคดูดีขึ้นในแบบฉบับตัวเอง
แต่การแข่งขันในอุตสาหกรรมความงาม ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในยุคนี้นอกจากจะเกิดคู่แข่งมากมายแล้วนั้น เทคโนโลยีที่เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ กำลังทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
L’Oréal Groupe จึงเลือกจะปรับตัวเอง ด้วยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำผสานกับวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า สร้างโซลูชันประสิทธิภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการและประสบการณ์ความงามเฉพาะบุคคล พร้อมเป็นผู้นำด้านเทรนด์ Beauty Tech

L’Oréal Groupe จะใช้กลยุทธ์นี้ พลิกโฉมอุตสาหกรรมความงามอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
นับจากอดีต L’Oréal Groupe สร้างนวัตกรรมความงาม ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ในโลกของความงามมากมาย

- ปี 1908 จุดเริ่มต้นบริษัทคือ ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่ปลอดภัย ที่เป็นสิทธิบัตรสำคัญในธุรกิจความงาม
- ปี 1979 สร้างจุดเปลี่ยนในการเลิกทดลองผลิตภัณฑ์กับผิวหนังสัตว์ คิดค้นนวัตกรรมแบบจำลองเนื้อเยื่อผิวหนัง
- ปี 1982 Mexoryl SX นวัตกรรมกันแดดชิ้นแรก ๆ ของโลกที่ป้องกันรังสี UVA ที่มีประสิทธิภาพสูง
- ปี 2006 Pro-Xylane ค้นพบโมเลกุลสกัดจากธรรมชาติ ที่ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอางบำรุงผิว
เพื่อชะลอริ้วรอย
เพื่อชะลอริ้วรอย
- ปี 2024 Melasyl™ ผลงานวิจัยที่ใช้เวลานานถึง 18 ปีเพื่อคิดค้นโมเลกุลที่พัฒนาสำหรับปัญหาเม็ดสีผิวเฉพาะจุดด้วยกลไกใหม่ ที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและรอยสิว
จะเห็นว่า L’Oréal Groupe เป็นบริษัทที่มี DNA ของการเป็นนักวิจัย โดยเฉพาะภาพการเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านผิว ที่เป็น Segment มูลค่าใหญ่สุดในอุตสาหกรรมความงามของโลก

จนมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ L’Oréal Groupe เลือกบูรณาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดมาเป็นศาสตร์ L'Oréal Longevity Integrative Science™ สำหรับการศึกษาและคิดค้นโซลูชั่นสำหรับดูแลผิว ที่ชูโรงด้วย Longevity AI Cloud™ ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท มาผสานกับวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ Longevity AI Cloud™ เป็น AI ทำหน้าที่รวบรวมตัวชี้วัดทางชีวภาพของผิวกว่า 260 ตัว จากนั้นก็วิเคราะห์ว่าอะไรคือ สาเหตุที่ส่งผลต่อความสดใส และความอ่อนเยาว์ของผิวในระยะยาว เมื่อได้ข้อมูลตรงนี้ทาง L’Oréal ก็สามารถคาดการณ์ผลลัพท์ของส่วนผสม และนำมาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ผิวที่มีคุณภาพตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างแม่นยำและตรงจุด
สรุปคือ L’Oréal Longevity Integrative Science™ เป็นการใช้เทคโนโลยี AI + ความล้ำหน้าทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั่นเอง
ความน่าสนใจก็คือ L’Oréal Groupe ไม่ได้จำกัดเทคโนโลยีไว้แค่ในศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
แต่ยังส่งตรงมาถึงมือผู้บริโภค ที่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า L’Oréal ได้นำธุรกิจ Beauty Tech ที่เป็นเมกะเทรนด์ในอุตสาหกรรมความงามทั่วโลก
แต่ยังส่งตรงมาถึงมือผู้บริโภค ที่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า L’Oréal ได้นำธุรกิจ Beauty Tech ที่เป็นเมกะเทรนด์ในอุตสาหกรรมความงามทั่วโลก
ขอยกตัวอย่างนวัตกรรมในงาน INNOFEST 2025 ของทาง ลอรีอัล ประเทศไทย ที่จัดแสดงล่าสุด
- Lancôme Rénergie Nano-Resurfacer 400 Booster

เป็นอุปกรณ์ดูแลผิวใช้งานที่บ้านได้ง่าย ๆ
เมื่อทาสกินแคร์ที่แนะนำลงบนผิวหนังและใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้นวดเบา ๆ บริเวณผิวหนัง
เมื่อทาสกินแคร์ที่แนะนำลงบนผิวหนังและใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้นวดเบา ๆ บริเวณผิวหนัง
โดยตรงปลายหัวจะมีนาโน 484 หัว ทำหน้าที่สร้างทางเดินเล็ก ๆ บนผิวหนังชนิดที่มองไม่เห็น
ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บใช้ได้กับทุกสภาพผิว ช่วยให้สกินแคร์สามารถซึมซับเข้าสู่เซลล์ผิวชั้นนอกสุด พร้อมทั้งปรับสภาพผิวให้อ่อนโยน
ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บใช้ได้กับทุกสภาพผิว ช่วยให้สกินแคร์สามารถซึมซับเข้าสู่เซลล์ผิวชั้นนอกสุด พร้อมทั้งปรับสภาพผิวให้อ่อนโยน
โดยปัจจุบันอุปกรณ์ชิ้นนี้วางขายในหลายประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา
- L’Oréal Paris Beauty Genius

ใครจะคิดว่า วันหนึ่งเราจะมีกูรูความงามส่วนตัวที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง แต่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้วเมื่อ L’Oréal สร้าง Agentic AI ที่ชื่อ Beauty Genius
บนเว็บไซต์ L’Oréal Paris U.S. โดย Beauty Genius จะมีความเชี่ยวชาญในแต่ละหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ เช่น สกินแคร์, เมกอัป, ดูแลเส้นผม และทำสีผม พร้อมจดจำวิเคราะห์บริบทผ่านการให้คำแนะนำดี ๆ ด้วยบทสนทนาลื่นไหล และยังสามารถเชื่อมต่อร้านค้าปลีกในสหรัฐฯ ทำให้สามารถซื้อสินค้าแบรนด์ L’Oréal Paris ตามคำแนะนำของ AI ได้ทันที
อีกทั้ง Beauty Genius จะยังเข้าไปอยู่ใน WhatsApp เพื่อสร้างการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ความงามของแบรนด์ L’Oréal Paris ได้อย่างแนบเนียน
โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วบน lorealparisusa.com ส่วนบริการใน WhatsApp และในประเทศอื่น ๆ จะเริ่มในปี 2026
- Spotscan+ Coach

แอปพลิเคชันที่คนมีปัญหาสิวบนผิวหน้าต้องมีติดไว้ในสมาร์ตโฟน พัฒนาร่วมกับแพทย์ผิวหนังและแอพพลิเคชัน Calm
โดยแอปฯ นี้จะใช้ AI วิเคราะห์ผิวจากภาพเซลฟี จากนั้นก็จะประเมินปัญหาสิวในรูปแบบคะแนน พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ “La Roche-Posay” ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล และมีไฮไลท์อยู่ที่การวางแผนโปรแกรมดูแลผิวนาน 3 เดือน เพื่อช่วยสร้างพฤติกรรมดูแลสุขภาพผิวที่ดีและถูกต้อง
โดยแอปฯ นี้จะใช้ AI วิเคราะห์ผิวจากภาพเซลฟี จากนั้นก็จะประเมินปัญหาสิวในรูปแบบคะแนน พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ “La Roche-Posay” ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล และมีไฮไลท์อยู่ที่การวางแผนโปรแกรมดูแลผิวนาน 3 เดือน เพื่อช่วยสร้างพฤติกรรมดูแลสุขภาพผิวที่ดีและถูกต้อง
App Spotscan+ Coach ดาวน์โหลดได้แล้วในสหราชอาณาจักร และพร้อมจะขยายบริการไปยังประเทศอื่น ๆ ในปี 2026
- AirLight Pro

ไดร์เป่าผมเครื่องแรกของโลกที่ใช้แสงอินฟราเรดเป็นแหล่งพลังงานที่มีความเร็วแสง ผสานเข้ากับอากาศและความร้อน เพื่อเร่งกระบวนการระเหยของน้ำ พุ่งเป้าไปที่โมเลกุลน้ำโดยตรง ทำให้ลดระยะเวลาที่เส้นผมโดนความร้อน
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบคือ ผมแห้งเร็วขึ้นสูงสุด 21% และล็อกความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นสูงสุด 55%
โดยปัจจุบันวางขายภายใต้แบรนด์ L'Oreal Professionel และได้รับความนิยมจากช่างผมมืออาชีพและคนที่ใช้งานทั่วไป ทั้งในฝรั่งเศส สหรัฐฯ แคนาดา และหลายประเทศในยุโรป
จะเห็นว่าการปรับตัวของ L’Oréal Groupe ที่ใช้จุดแข็งตัวเองคือ งานวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านความงามขั้นสูงผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จนกลายเป็นกลยุทธ์ Science + Tech ที่ลงตัวจนเป็นเนื้อเดียวกัน

เป้าหมายเพื่อยกระดับบริการและผลิตภัณฑ์ “ความงาม” ทุกแบรนด์ของตัวเอง ให้เข้าถึงและเข้าใจ
ผู้บริโภคแต่ละคนที่มีความต้องการแตกต่างได้อย่างแม่นยำ
ผู้บริโภคแต่ละคนที่มีความต้องการแตกต่างได้อย่างแม่นยำ
วิธีนี้นอกจากจะชนะใจผู้บริโภคแล้วนั้น ยังเป็นการทิ้งห่างคู่แข่งในอุตสาหกรรมความงาม
ที่จะทำให้ L’Oréal Groupe เป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมความงามในโลกยุคใหม่ และบุกเบิกสร้างสรรค์อนาคตแห่งความงามอย่างแท้จริง
ที่จะทำให้ L’Oréal Groupe เป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมความงามในโลกยุคใหม่ และบุกเบิกสร้างสรรค์อนาคตแห่งความงามอย่างแท้จริง
Reference
- เอกสารข้อมูลประชาสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จํากัด
- เอกสารข้อมูลประชาสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จํากัด