Update อาณาจักร L’Oréal Groupe รอบครึ่งปีแรกของปี 2025

Update อาณาจักร L’Oréal Groupe รอบครึ่งปีแรกของปี 2025

L’Oréal Groupe x ลงทุนแมน
ช่วงครึ่งแรกของปี 2025 L’Oréal Groupe ทำรายได้ทั่วโลก 2.24 หมื่นล้านยูโร ฐานลูกค้าที่สร้างยอดขายเติบโตสูงสุด 9.2% มาจากกลุ่ม Emerging Market ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนภาพรวมประเภทสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุด ต้องยกให้ผลิตภัณฑ์น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เส้นผม
นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นตามแผนกระตุ้นความงาม Beauty Stimulus Plan เท่านั้น
อาณาจักร L’Oréal Groupe ในรอบครึ่งปีแรกยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้วสินค้าความงามภายใต้ L’Oréal Groupe ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก
ถ้าสังเกตในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 สินค้าเหล่านี้กำลังเติบโตในเส้นทางของตนเองได้ดีทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบยอดขายในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี โดยอิงจากหน่วยธุรกิจที่เหมือนเดิม และค่าเงินที่เท่ากัน
- กลุ่ม Professional Products
โดยในรอบครึ่งปีแรก เติบโตกว่า 6.5% ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกภูมิภาค และได้เหนือกว่าในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมระดับพรีเมียม ตัวอย่างแบรนด์ดังในสินค้ากลุ่มนี้ก็เช่น Kérastase และ L’Oréal Professionnel
- กลุ่ม Consumer Products
ที่เติบโต 2.8% อย่างสมดุลทั้งในด้านปริมาณและระดับราคาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบราซิล, เม็กซิโก และอินเดีย
จากกลยุทธ์การทำให้ความงามชั้นเลิศเข้าถึงได้ในวงกว้าง พร้อมทั้งยกระดับให้พรีเมียมยิ่งขึ้น จากแบรนด์เช่น L’Oréal Paris, Garnier, Maybelline New York
- กลุ่ม L’Oréal Luxe
เติบโต 2.2% โดยความแข็งแกร่งต้องยกให้กลุ่มน้ำหอม เช่น YSL, Giorgio Armani ฯลฯ
ส่วน Aesop เติบโตถึงสองหลัก และกลุ่มเครื่องสำอางต่าง ๆ ภาพรวมของทั้งกลุ่มนี้กำลังไปได้ดีในยุโรป และอเมริกาเหนือ แม้ว่าตลาดความงามชั้นสูงโดยภาพรวมจะยังคงอยู่ในช่วงท้าทายก็ตาม
- กลุ่ม Dermatological Beauty
ยังคงเติบโตในกลุ่มเวชสำอางทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาแบบไม่หยุดนิ่ง ตัวอย่างแบรนด์ติดลมบนในกลุ่มนี้ เช่น La Roche-Posay, CeraVe, SkinCeuticals ส่วน Vichy สามารถขยายตลาดดูแลเส้นผมกลุ่ม Dercos ได้อย่างดี
จะเห็นได้ว่า แม้ในยามที่ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะผันผวน แต่สินค้าภายใต้ L’Oréal Groupe ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แล้วอะไรทำให้ L’Oréal Groupe แข็งแกร่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ?
ปัจจัยที่ 1 คือ โมเดลธุรกิจ
L’Oréal Groupe ปรับใช้ Multi-Polar Model แบบค่อยเป็นค่อยไปในตลาดความงามทั่วโลก ที่ช่วยให้เกิดการฟื้นตัวในตลาดจีนและอเมริกาเหนือ ไปพร้อม ๆ กับการชดเชยการชะลอตัวในยุโรป
นอกจากนี้ ยังประยุกต์ใช้ส่วนผสมระหว่างปริมาณและระดับราคาได้อย่างสมดุล โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า Consumer Products ที่กำลังเดินหน้ากลยุทธ์ Democratize and Premiumize The Best of Beauty มากขึ้นเรื่อย ๆ
ที่สำคัญเลยก็คือ กลยุทธ์ Omnichannel ที่กำลังสร้างแรงดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคใหม่ ๆ ผ่านช่องทางขายทั้ง E-Commerce และการจำหน่ายผ่าน Distributor ที่สร้างความสำเร็จอย่างมากในกลุ่ม สินค้าประเภท Professional Products
ปัจจัยที่ 2 คือ ด้านนวัตกรรม
โดย L’Oréal Groupe ตั้งงบด้าน Research & Innovation กว่า 671 ล้านยูโร คิดเป็น 3% ของยอดขาย
หากใครเป็นลูกค้า L’Oréal Groupe คงสัมผัสได้ถึงการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เลยก็เช่น
- L’Oréal Longevity Integrative Science™ ที่พลิกโฉมการดูแลผิว ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ต้นเหตุของความชราทางชีวภาพ และเน้นแนวทางเชิงรุกและเชิงป้องกัน เพื่อสุขภาพผิวและความงามตลอดช่วงชีวิต
- Melasyl™ นวัตกรรมโมเลกุล เพื่อจัดการปัญหาจุดด่างดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอด้วยกลไกอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมีอยู่ใน Mela B3 ของ La Roche-Posay
- P-TIOX และ HA Intensifier ล่าสุดของ SkinCeuticals
นอกจากนี้ L’Oréal Groupe รุกหน้าด้าน Beauty Tech อีกมากมาย เช่น การจับมือกับ NVIDIA เพื่อปลดล็อกศักยภาพของ AI ด้านความงาม, จัดแสดง Beauty Tech Devices และ Solutions ในงาน Tech ระดับโลก เช่น CES และ Viva Technology ที่ปารีส
พอเป็นแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าล่าสุด L’Oréal Groupe จะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรมมากที่สุดในยุโรปจากนิตยสาร Fortune ที่คัดเลือกธุรกิจทั้งหมดกว่า 300 บริษัทเลยทีเดียว
ปัจจัยที่ 3 คือ การสร้างพอร์ตโฟลิโอแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยล่าสุด L’Oréal Groupe เข้าซื้อ 2 แบรนด์สำคัญคือ
- Medik8
แบรนด์บำรุงผิวพรีเมียมสัญชาติอังกฤษ โดยเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ และสร้างศักยภาพการเติบโตในกลุ่ม L’Oréal Luxe
- Color Wow
แบรนด์ดูแลเส้นผมระดับพรีเมียมของสหรัฐฯ ที่เชื่อว่าเป็นแบรนด์เติบโตสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กลุ่ม Professional Products ได้อย่างแน่นอน
การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ ทำให้อาณาจักร L’Oréal Groupe แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งจุดที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือ การเดินหน้าสู่เป้าหมายความยั่งยืน L'Oréal for the Future ปี 2030
L'Oréal Groupe พยายามสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก ที่ครอบคลุมทั้งด้านจริยธรรม และมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด
สังเกตได้จากช่วงที่ผ่านมาทั้งการเปิดตัวโครงการ Sustainable Innovation Accelerator ด้วยเงินทุนกว่า 100 ล้านยูโร ตลอด 5 ปี สำหรับ Startup เพื่อเร่งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน
หรืออย่างเช่น การทำแคมเปญทั่วโลกในวัน World Refill Day เพื่อรณรงค์ความงามแบบรีฟิล กระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ผลิตภัณฑ์แบบรีฟิลกันมากขึ้น
ซึ่งถ้ามองในแง่การดำเนินธุรกิจต่อไปในอนาคต แน่นอนว่า เรื่องของ “บุคลากรทำงาน” ก็สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ เลย

พอเป็นแบบนั้น L'Oréal Groupe ที่พยายามสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรมาตลอด ก็คงไม่แปลกที่จะกลายเป็นหนึ่งองค์กรระดับโลกที่กำลังดึงดูด Young Talent เข้ามาสร้างพลังเดินต่อไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น โครงการ Employee Stock Ownership Plan ที่ช่วยให้พนักงานมีส่วนร่วมด้าน Ownership Plan อย่างใกล้ชิดในการพัฒนาองค์กร
ปัจจุบัน L’Oréal Groupe มีพนักงานมากกว่า 90,000 คน และมีศูนย์วิจัย 21 แห่งใน 13 ประเทศทั่วโลก นั่นคือโอกาสในการทำงานยุคนี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลายในระดับสากล
ถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า องค์กรระดับโลกแห่งนี้ ไม่เคยหยุดนิ่งเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำให้ L’Oréal Groupe ยังคงเป็นอาณาจักรด้านความงามระดับโลก ที่แม้จะดำเนินงานมานานกว่า 115 ปี ด้วยแบรนด์ระดับโลกถึง 37 แบรนด์ ที่ในวันนี้ ยังคงยืนอยู่อย่างสวยงาม มั่นคง และยั่งยืน..
Reference :
- รายงานปี 2025 Half-Year Results L'Oréal

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon