Jordan Belfort ทำยังไงให้มีหนี้ 1,600 ปี

Jordan Belfort ทำยังไงให้มีหนี้ 1,600 ปี

5 มี.ค. 2018
Jordan Belfort ทำยังไงให้มีหนี้ 1,600 ปี / โดย ลงทุนแมน
ในชีวิตนี้ ถ้าจะถามว่า
สิ่งที่คนเราต้องระวังมากที่สุด คืออะไร?
คำตอบหนึ่งในนั้นก็ คือ
“ให้ระวังความโลภของตัวเอง”
ความโลภนี้ เป็นระเบิดที่ร้ายแรง ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต ตัวเอง และผู้อื่น ไปตลอดกาล
หลายคนคงได้เคยมีโอกาสดูหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street ที่นำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิ คาปริโอ
หนังเป็นเรื่องราวชีวิตของสุดยอดนายหน้าค้าหุ้น ผู้ที่ทำเงินได้มหาศาลในเวลาไม่นานสุดท้ายถูกจับติดคุก โทษฐานฉ้อโกง
แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องนี้ถูกสร้างมาจากชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า Jordan Belfort
เขาเป็นใคร ชีวิตคนนี้น่าตื่นเต้นขนาดไหน เรื่องนี้สอนอะไรให้กับเรา ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ประวัติชีวิตของ Belfort สั่งสมประสบการณ์การขายมาแต่เด็ก
Belfort เกิดในปี 1962 ครอบครัวเป็นพนักงานตำแหน่งบัญชี มีฐานะปานกลาง
แม้พ่อแม่เขาทำงานหนัก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ครอบครัวรวยขึ้น หนำซ้ำยังไม่มีเวลาให้กันและกัน เขาจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า โตขึ้นต้องรวยให้ได้
เขามองหาไอเดียธุรกิจตั้งแต่เด็ก โดยใช้หลักการ หาสิ่งที่ขายเพื่อแก้ปัญหาให้คนอื่น เช่น ตอนเขาขายหนังสือพิมพ์ตามบ้าน ก็ได้เสนอบริการกวาดหิมะเพิ่มให้
หรือ เดินขายไอศกรีมให้คนที่นอนอาบแดดตามชายหาด ที่แม้จะร้อนแต่ไม่ยอมลุกไปไหน ทำให้เขามีรายได้จนสามารถส่งตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยได้
แม้เรียนจบคณะชีววิทยา แต่ด้วยความชื่นชอบในการขาย จึงไปสมัครงานที่บริษัทขายเนื้อ และขายดีจนออกมาเปิดกิจการซะเอง แต่สุดท้ายถูกพนักงานโกง จนล้มละลาย
ต่อมาเขาได้เห็นเพื่อนบ้าน มีฐานะดีขึ้นจากการเป็นโบรกเกอร์ จึงเห็นโอกาสใหม่ในการทำเงิน
เขาไปสมัครงานบริษัทหลักทรัพย์ แม้ไม่ได้จบด้านการเงิน แต่ด้วยทักษะการขายที่น่าทึ่ง เขาจึงได้งานที่บริษัท L.F. Rothschild และใช้เวลาฝึกอบรมอยู่ 6 เดือน
แต่โชคชะตาก็เล่นตลก Belfort เริ่มงานวันแรก เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 1987 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ Black Monday ดัชนี Dow Jones ร่วง 22.6% ทำให้ Rothschild ปิดกิจการ และเขาตกงาน
แต่ประสบการณ์ที่ได้มาไม่สูญเปล่า เขาได้พบกับตลาดหุ้นเล็กๆตามชนบท ที่เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ซึ่งหุ้นเป็นลักษณะของ Penny Stock ราคาถูก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มันไม่ค่อยมีการซื้อขายเท่าไร หากโบรกเกอร์คนไหนขายได้ เอาค่านายหน้าไปเลย 60%
Belfort จึงตัดสินใจทำงานที่นี่ และนำทักษะการขายแบบมืออาชีพ มาประยุกต์ใช้ และเขาก็ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
เมื่อมีเงินทุนจำนวนหนึ่ง เขาจึงได้ออกไปเปิดบริษัทหลักทรัพย์ของตัวเอง ชื่อ Stratton Oakmont ในปี 1989
ในจุดรุ่งเรือง บริษัทเขามีพนักงานมากกว่า 1,000 คน และเป็นนายหน้าระดมทุนให้กับบริษัทต่างๆมูลค่ารวมสูงกว่า 1,000 ล้านเหรียญ
มีรายงานว่า Belfort มีรายได้สูงถึง 250 ล้านเหรียญ ซึ่งหากคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน จะอยู่ที่เกือบ 500 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่ 15,700 ล้านบาท
แต่เรื่องนี้ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น เพราะต่อมาบริษัท Stratton Oakmont ถูกจับได้ว่าทุจริต
แล้ว Stratton Oakmont ทุจริตอย่างไร?
เมื่อกิจการเติบโต บริษัทต้องการกำไรเพิ่ม นั่นนำไปสู่การใช้วิธีที่ผิด
Stratton Oakmont ลงทุนในหุ้น และออกมาเชียร์นักลงทุนให้ซื้อหุ้นตัวนั้นด้วย โดยพยายามนำเสนอข่าวดีต่างๆ ที่เกินจริง พอคนสนใจเข้ามาซื้อ และราคาพุ่งสูงขึ้น บริษัทก็ขายทำกำไร จนคนอื่น ติดดอย ขาดทุนย่อยยับ
กระทั่งปี 1998 บริษัทจึงถูกฟ้องในข้อหาฉ้อโกง ทำราคาหุ้น รวมทั้งฟอกเงิน สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านเหรียญ
Belfort ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ต้องชดใช้เงินค้าเสียหาย 110 ล้านเหรียญ ให้นักลงทุน 1,500 ราย และห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการลงทุนอีก
แต่เนื่องจากเขาให้การเป็นประโยชน์ จึงมีการลดหย่อนโทษให้เหลือ 22 เดือน ปัจจุบันเขาออกจากคุก หันมาเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ และเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ
อย่างไรก็ตาม เขายังต้องชดใช้ค่าเสียหายอยู่ โดยตอนนี้เขาคืนเงิน 4,000-5,000 เหรียญต่อเดือน ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีก 1,600 ปี กว่าจะใช้คืนครบ..
บทเรียนที่น่าสนใจจากเรื่องนี้ ในส่วนที่ดี คือ
มันมีโอกาสทางธุรกิจอยู่เสมอ ถ้าเรามองออกว่าคนต้องการอะไร พูดไปไม่กี่คำก็น่าจะขายสินค้าได้ง่ายเหมือน Belfort
ฉากที่น่าประทับใจฉากหนึ่งในหนังคือ ตอนที่ Belfort ลองให้เพื่อนที่ทำงาน Sell me this pen ลองขายปากกาให้ฉันสิ
คนส่วนใหญ่มักจะอธิบายถึงคุณภาพที่ดีเลิศของปากกา แต่นั่นไม่ได้เป็นการมองในมุมของลูกค้าเลย
Belfort พยายามชี้ให้เห็นว่า เราควรมองว่า ลูกค้าต้องการอะไร และผลิตภัณฑ์เราจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร ถ้าจับจุดได้ เราก็สามารถขายอะไรก็ได้
แต่ข้อคิดที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อเราได้ดี อย่าลืมตัว และหันหลังให้กับจริยธรรม
บางคนอาจจะหลงคิดว่าต้องมีเงินให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยไม่สนว่าต้องใช้วิธีการอะไร ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับคนที่อยากขโมยเงินคนอื่น และเหตุผลที่ขโมยคือ อยากกินข้าวสิบจานต่อมื้อ
สิ่งนี้คือ ความโลภ
และเมื่อความโลภครอบงำ มันก็จะพาเราไปสู่การกระทำที่นอกลู่นอกทางในการหลอกลวงคนอื่น
ในวันแรกอาจจะหลอกได้ แต่สุดท้ายความจริงก็ต้องโผล่ออกมา
และถึงวันนั้น แม้แต่ข้าวจานเดียว เราอาจจะยังไม่มีกิน..
----------------------
<ad> บทเรียนสำคัญจากเรื่อง Jordan Belfort คือ ความโลภ
ยังมีบทเรียนจากคนอื่นๆ ให้เราเรียนรู้อีกมากบนแอปลงทุนแมน
โหลดฟรีได้ทีนี่ longtunman.com/app
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.