สรุป มิสแกรนด์ ตอนนี้ ณวัฒน์ รวยกว่า เจ้าของช่อง 3

สรุป มิสแกรนด์ ตอนนี้ ณวัฒน์ รวยกว่า เจ้าของช่อง 3

22 ก.พ. 2024
สรุป มิสแกรนด์ ตอนนี้ ณวัฒน์ รวยกว่า เจ้าของช่อง 3 /โดย ลงทุนแมน
คุณณวัฒน์ เคยเป็นพิธีกรในรายการครัวคุณต๋อยของคุณไตรภพ ในช่อง 3
มาวันนี้ คุณณวัฒน์ ออกจากช่อง 3 ไปเป็นเจ้าของมิสแกรนด์ ที่เพิ่งเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์
ด้วยมูลค่าหุ้นที่ขึ้นเกือบ 10 เท่า หลังจากเข้าตลาด
จนในตอนนี้ คุณณวัฒน์ กำลังเป็นเจ้าของบริษัท MGI ที่ใหญ่กว่าช่อง 3 ที่เขาเคยเป็นพิธีกร
เรื่องนี้เพราะอะไร และน่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แน่นอนว่าทุกคนคงตกใจกับเรื่องของ MGI ในช่วงนี้
และหลาย ๆ คนหรือแม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์เอง ก็บอกว่า หุ้น MGI มีการซื้อขายที่ไม่ปกติ จนต้องขึ้นเครื่องหมาย P เพื่อหยุดการซื้อขาย 1 วัน..
วันนี้หุ้น MGI มีราคาปิดที่ 50 บาท เมื่อคูณจำนวน 210 ล้านหุ้นของบริษัท
ก็เท่ากับว่าตอนนี้ MGI มีมูลค่า 10,500 ล้านบาท
เรามาดูมูลค่า MGI เมื่อเทียบกับ บริษัทบันเทิงในตลาดกัน
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) มีมูลค่าบริษัท 4,371 ล้านบาท
บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) มีมูลค่าบริษัท 4,879 ล้านบาท
บริษัท บีอีซี เวิลด์ เจ้าของช่อง 3 (BEC) มีมูลค่าบริษัท 9,480 ล้านบาท
บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ONEE) มีมูลค่าบริษัท 10,097 ล้านบาท
MGI ไม่มีช่องทีวี แต่มีเวทีประกวดนางงาม กับการขายสินค้าใน TikTok แต่ตอนนี้ MGI ใหญ่กว่าเจ้าของช่องทีวีอย่าง Workpoint, GMM25, ONE31 และที่สำคัญคือใหญ่กว่า BEC บริษัทเจ้าของช่อง 3 ช่องที่เขาเคยเป็นพิธีกรทำรายการอยู่ในนั้น..
บริษัท MGI ได้เข้า IPO เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2566
- IPO ด้วยราคา 4.95 บาทต่อหุ้น
- มีหุ้นทั้งหมด 210 ล้านหุ้น ตีเป็นมูลค่าอยู่ที่ราว 1,040 ล้านบาทในตอนนั้น
หลังจากเข้ามา ก็มีหลายวันที่ราคาหุ้น MGI ปรับตัวเพิ่มขึ้น วันละ 20-30%
ล่าสุดวันนี้ หุ้น MGI ถูกซื้อขายกันที่ 50 บาทต่อหุ้น
ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 910% ตั้งแต่ IPO ในเวลาเพียง 2 เดือนนิด ๆ ..
ด้วยมูลค่าบริษัทขนาดนี้ หากมาเทียบกับกำไรปีล่าสุดของ MGI ที่ 119 ล้านบาท
เท่ากับว่าหุ้นตัวนี้ กำลังซื้อขายกันที่ค่า P/E ที่สูงถึง 88 เท่า..
แล้ว MGI ทำธุรกิจอะไร ?
บริษัทประกอบธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและอาหาร
และเป็นตัวแทนนายหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับศิลปิน
ซึ่งมีผลประกอบการย้อนหลัง
ปี 2564 รายได้ 345 ล้านบาท กำไร 29 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 320 ล้านบาท กำไร 48 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 616 ล้านบาท กำไร 119 ล้านบาท
โดยรายได้หลักในปี 2566 มาจาก
สินค้าอุปโภค เช่น น้ำหอม, ครีม 149 ล้านบาท
สินค้าบริโภค เช่น นํ้าพริกสดปลาสลิด 105 ล้านบาท
ธุรกิจบันเทิง 113 ล้านบาท
ศิลปิน 135 ล้านบาท
การจัดประกวด 85 ล้านบาท
เรามาดูผลประกอบการเจ้าของช่องทีวีกัน
BEC หรือบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) เจ้าของช่อง 3
มูลค่าบริษัท 9,480 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ 5,729 ล้านบาท กำไร 762 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 5,152 ล้านบาท กำไร 607 ล้านบาท
9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้ 3,345 ล้านบาท กำไร 117 ล้านบาท (งบเต็มปียังไม่ออก)
ที่รายได้ของบริษัทฯ ลด เป็นเพราะรายได้จากการขายเวลาโฆษณาของกลุ่ม BEC ลดลง (แหล่งรายได้หลักมากกว่า 80%)
ส่วนรายได้จากการให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่น ยังเติบโต
GRAMMY หรือบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
มูลค่าบริษัท 4,879 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ 3,893 ล้านบาท กำไร 497 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 5,322 ล้านบาท กำไร 166 ล้านบาท
9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้ 4,161 ล้านบาท ขาดทุน 37 ล้านบาท (งบเต็มปียังไม่ออก)
ที่พลิกจากกำไรเป็นขาดทุน เพราะบริษัทฯ ยังมีผลขาดทุนจากรายการพิเศษ จากการวัดมูลค่ายุติธรรมในสินทรัพย์ทางการเงินอื่น จำนวน 167.8 ล้านบาท จากการลงทุนในหุ้น บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS
WORK หรือบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)
มูลค่าบริษัท 4,371 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้ 2,312 ล้านบาท กำไร 324 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้ 2,510 ล้านบาท กำไร 171 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้ 2,495 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
รายได้ลดเพราะเป็นไปตามการลดลงของเม็ดเงินโฆษณาผ่านช่องทาง TV
อีกทั้งบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายตั๋วคอนเสิร์ต และค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย ทำให้กำไรลดลง
สังเกตได้ว่า ทุกบริษัทที่กล่าวมา ถึงมีรายได้เป็นพันล้านบาท แต่ในปี 2566 บริษัทเหล่านี้ไม่ได้มีกำไรดีไปกว่า MGI เท่าไรนัก
เรียกได้ว่า ธุรกิจเจ้าของช่องทีวี กำลังประสบปัญหา โฆษณาลดลง และเมื่อลดลง แต่ต้นทุนลดตามไม่ทัน ก็เลยทำให้มีกำไรที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้
แตกต่างจาก MGI ที่ไม่ต้องมีต้นทุนบริหารช่องทีวี จัดประกวดนางงาม ขายสินค้า รายได้หลักร้อยล้านบาท แต่มีกำไรในปี 2566 ที่มากกว่าเจ้าของช่องทีวีในบางช่องเสียอีก
พอเล่ามาถึงตรงนี้ ทุกอย่างดูชวนฝันสำหรับ MGI
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในตอนนี้ ต้องมีความระมัดระวังอย่างสูง
เพราะอะไร ถึงต้องระวัง ?
เพราะทุกอย่างมีราคาของมัน..
ด้วยมูลค่าบริษัท MGI ในตอนนี้ หากมาเทียบกับกำไรปีล่าสุดของ MGI ที่ 119 ล้านบาท
เท่ากับว่าหุ้นตัวนี้ กำลังซื้อขายกันที่ค่า P/E ที่สูงถึง 88 เท่า
หมายความว่า ถ้ากำไรอยู่ในระดับนี้ บริษัท MGI ต้องใช้เวลา 88 ปี ถึงจะทำเงินได้เท่ากับ ราคาที่เราจ่ายค่าหุ้นไป
ซึ่ง P/E ในระดับนี้ เป็นการให้ราคาของบริษัทที่มีการเติบโตที่สูงมาก สูงในระดับที่ควรจะคาดหวังว่าบริษัทจะมีกำไรเติบโตเป็น 100% ในทุก ๆ ปี อย่างน้อยก็ในช่วง 3 ปีนี้
ซึ่งถ้า MGI ทำได้ ราคานี้ก็อาจมีเหตุผล แต่ถ้าทำไม่ได้ นั่นก็อาจแปลว่าราคานี้จะเป็นฟองสบู่ ที่เรียกรายย่อยเข้าไปร่วมวง
และถ้าเป็นฟองสบู่ MGI จริง การที่คุณณวัฒน์ รวยกว่าเจ้าของช่อง 3 ในวันนี้ ก็อาจกลายเป็นเพียงเรื่อง ชั่วคราว..
คำเตือน : โพสต์นี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูล ไม่ได้แนะนำให้ซื้อ หรือ ขาย แต่อย่างใด
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
Tag: MGI
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.