สรุปสัมมนา THE WISDOM Wealth Decoded เจาะลึก 3 ตลาดหุ้นดาวเด่นในเอเชีย ในช่วงที่เหลือของปี 2024

สรุปสัมมนา THE WISDOM Wealth Decoded เจาะลึก 3 ตลาดหุ้นดาวเด่นในเอเชีย ในช่วงที่เหลือของปี 2024

KBank x ลงทุนแมน
ในปี 2024 ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนของโลก ทั้งในทางเศรษฐกิจจาก Rate cut cycles หรือวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), ธนาคารกลางจีน (BOC) หรือแม้แต่ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่เพิ่งออกมาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี
และความผันผวนในทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งสำคัญในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ที่ส่งผลกระทบต่อนักลงทุนทุกคน
มาวันนี้ เดอะวิสดอมกสิกรไทย จึงได้จัดสัมมนา “THE WISDOM Wealth Decoded Talk: จับตาการกลับมาของเศรษฐกิจเอเชีย ท่ามกลางมรสุมโลก” เพื่อช่วยนักลงทุนเตรียมพร้อมรับโอกาสและจับตาความเสี่ยงในปี 2024 สำหรับลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทยโดยเฉพาะ
โดยจะมาวิเคราะห์เจาะลึกเศรษฐกิจเอเชีย ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์บริหารจัดการเงิน เพื่อต่อยอดการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง
จาก Speaker มากประสบการณ์อย่าง คุณพิชัย ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณพิชัย ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย ได้วิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชีย โดยแบ่งออกเป็น 3 ตลาดหุ้นเอเชีย ที่น่าสนใจดังนี้
- ตลาดหุ้นเวียดนาม
ภาพรวมปัจจัยพื้นฐานดี โครงสร้างประชากร การขยายตัวของเมือง ชนชั้นกลางรายได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำ เป็นฐานการผลิตสินค้าของแบรนด์ระดับโลก มี FTA กับทั่วโลก รวมทั้งกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ยังคงเติบโตสูง
ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นโลกน้อย ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีปัญหาหุ้นกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ยืดระยะเวลามา 2 ปี, เรื่องการคอร์รัปชัน และกระแสไฟฟ้าดับทางภาคเหนือของประเทศ และเรื่องการเข้าสู่ Emerging market ที่ยังคงต้องติดตาม
สรุปคือ สามารถลงทุนในระยะยาว 3 ปีขึ้นไป คล้ายกับไทยในช่วงเติบโตเมื่อ 20 ปีก่อน ต้นทุนแรงงานต่ำ FDI ไหลเข้า ชนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้น รอเข้า Emerging market โดยมีกองทุน K-VIETNAM ที่น่าสนใจ
- ตลาดหุ้นอินเดีย
ด้วยโครงสร้างประชากร การเติบโตของชนชั้นกลาง และการบริโภคภายในประเทศ 60% ของ GDP ทำให้อินเดียยังคงเป็นที่น่าจับตามอง แม้ตลาดหุ้นจะเริ่มแพงก็ตาม
นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2024-2026 ราว 17.6 ล้านล้านบาท คิดเป็น 15% ของ GDP ซึ่งจะช่วยหนุนให้ GDP โตได้ถึง 8%
ยังมีโครงการ Systematic investment plan คล้าย ๆ กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทย ที่จะให้ผู้มีรายได้ลงทุนผ่านกองทุนทั้งตราสารหนี้และหุ้น เป็นประจำทุกเดือน พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี
ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินกว่า 90,000 ล้านบาททุกเดือน หรือคิดเป็นปีละ 1.08 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการช่วยพยุงตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ให้ลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสการเติบโตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจจะผันผวน เสี่ยงต่อแรงขายทำกำไร จากตลาดทำ All-time high
สรุปคือ สามารถซื้อลงทุนได้ แต่ถ้าตลาดลงต้องพร้อมเทขายทำกำไร โดยมีกองทุนที่น่าสนใจคือ K-INDIA-A
- ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย
ด้วยจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และเม็ดเงินลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการย้ายเมืองหลวงใหม่ กว่า 1.05 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วง 20 ปีข้างหน้า
และนโยบาย Downstream Policy ที่ห้ามการส่งออกแร่ดิบนอกประเทศ เพื่อสร้างงานและมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศ
รวมทั้งการตั้งเป้าหมายการนำประเทศไปสู่สถานะที่มีรายได้สูงภายในปี 2045 โดยมี GDP ต่อหัวที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี
ทำให้โดยรวมแล้วอินโดนีเซีย ถือเป็นประเทศที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ยังคงเป็นภาคการเงินที่มีสัดส่วนสูงถึง 38% ของตลาดหุ้น และการขึ้นลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
สรุปคือ สามารถซื้อลงทุนได้ โดยการขึ้นลงของตลาดหุ้นจะอ้างอิงจากสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก และยังมีประเด็นเรื่องค่าเงินรูเปียห์มีทิศทางอ่อนค่าลง ทำให้ต้องระวังการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ต่อมา คุณพิชัยได้กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนี้ โดยแบ่งเป็น 2 ธีมหลัก ๆ ได้แก่
1. ธีม Rate cut cycles หรือวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย
จากการที่ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ต่างออกมาลดอัตราดอกเบี้ยกันในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อังกฤษ จีน หรือแม้แต่สหรัฐฯ ที่ออกมาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี
ดังนั้น เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง ก็จะเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนตราสารหนี้ เพราะส่งผลให้ราคาตราสารหนี้และ REITs ปรับสูงขึ้น โดยมีกองทุนที่น่าสนใจดังนี้
- K-APB-A(A) ลงทุนในตราสารหนี้ โดยเน้นผู้ออกตราสารหนี้ในเอเชียแปซิฟิก (รวมถึงญี่ปุ่น) ที่สำคัญคือมีการลงทุนใน High-yield bonds สัดส่วน 39%
- K-GINFRA-C(A) ลงทุนในพอร์ตหุ้น และ REITs ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก ไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สินกองทุน
2. ธีม US Election หรือการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ด้วยผลของนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ จากการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงเร็ว ๆ นี้ของสหรัฐฯ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นจึงต้องเตรียมรับมือด้วยการกระจายความเสี่ยงให้ดี
โดยแนะนำกองทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ K-GSELECT ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก JPM Global Select Equity ETF เป็นการลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่งทั่วโลก บริหารจัดการโดย J.P. Morgan Asset Management ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก
นอกจากนี้ กองทุน K-GSELECT ยังเป็นกองทุนที่ตอบโจทย์สำหรับการลงทุนในระยะยาวเพื่อการสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะดัชนีหุ้นโลก (MSCI World Index) อย่างสม่ำเสมอ

สุดท้ายนี้ เราคงพอสรุปได้ว่า จากสถานการณ์ที่กำลังอยู่ในช่วงผันผวนของตลาดโลก จากทั้งเรื่อง Rate cut cycles และเรื่องการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย หรือการกระจายการลงทุนไปในตลาดต่างประเทศล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจ
และถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะบริหารจัดการเงินให้ดี เพื่อต่อยอดการลงทุนอย่างแข็งแกร่ง และปกป้องเงินของคุณ ด้วยพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ลดความเสี่ยง เพิ่มความสบายใจในทุกการลงทุน
ลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทยสามารถติดตามงานสัมมนา THE WISDOM Wealth Decoded ครั้งต่อไปได้ที่ https://www.kasikornbank.com/k_3ze7XMU
#KBankTHEWISDOM #WealthDecoded #KBank
*ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
Reference
- สัมมนา THE WISDOM Wealth Decoded Exclusive Talk

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon